วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2565

Review ท่องเที่ยวเรือสำราญกับ Carnival Mardi Gras



การท่องเที่ยวเรือสำราญ เป็นหนึ่งการท่องเที่ยวที่แนะนำให้ทุกคนทำสักครั้งในชีวิต ก็เหมือนอย่างชื่อเลย คือมันสำราญจริงๆ เป็นการท่องเที่ยวที่เราได้พักผ่อนจริงๆ กิน นอน เล่นอย่างเดียว ไม่ต้องคิดอะไรมาก ตื่นมามีอาหารให้เลือกทานไม่หมด ห้องพักมีคนทำความสะอาดให้พร้อม ในเรือมีกิจกรรมให้ทำแบบไม่เบื่อ หรือถ้าไม่อยากทำกิจกรรมอะไร จะนอนอย่างเดียวก็ไม่มีใครว่า เราไม่ต้องกังวลเรื่องเส้นทางการเดินทาง ไม่ต้องวางแผนอะไรทั้งนั้น ในเรือได้วางตารางการเดินทางไว้พร้อมแล้ว เราแค่เตรียมตัวให้พร้อมทำกิจกรรมตามท่าเรือต่างๆ ที่เขาแวะจอด

ตั้งแต่ก้าวแรกที่ย้ายมาอยู่อเมริกา บอกกับตัวเองเลยว่า ฉันต้องไปเที่ยว Cruise Line หรือเรือสำราญสักครั้งให้ได้ในชีวิต แต่จนแล้วจนรอด ผ่านไป 10 กว่าปีก็ไม่ได้ไปสักที แรกๆ ย้ายมาอยู่ใหม่ๆ มีเวลานะ แต่เงินไม่พอ แต่พอหลังๆ มีเงินเก็บ แต่ก็ทำงานเยอะ ลาไม่ได้อีก จนสุดท้ายเพิ่งมีโอกาสได้ไปเมื่อสิงหาคม 2022 นี่เองค่ะ 


สำหรับคนที่ไม่เคยไปเลย ให้ลองแบบทริปสั้นๆ 3 วันก่อนนะคะ เผื่อไม่ชอบ บางคนเมาเรือ ใจได้แต่ร่างกายไม่พร้อมมันก็ไม่สนุกนะคะ สำหรับนุ้ยไปกับลูกสองคนช่วงปิดเทอมกับ Carnival Mardi Gras เดินทางทั้งหมด 7 วัน เรือเดินนิ่มมาก ไม่รู้สึกเวียนหัวเลย รู้สึกเหมือนเรือนิ่งๆ อยู่กับที่ ไม่มีอาการคลื่นใส้ วิงเวียนใดๆ เลยค่ะ คือเป็นทริปที่เราสองแม่ลูกสนุกมาก ตื่นตาตื่นใจกับทุกอย่าง 


ทำไมต้อง Carnival Mardi Gras

เราเลือกเดินทางกับ Carnival Mardi Gras ด้วยหลายๆ เหตุผล อย่างแรกเลย คือ ราคาไม่แพงมาก 7 วัน เส้นทาง Eastern Caribbean ราคาต่อหัวรวมภาษี และประกันการเดินทางแล้วอยู่ที่ 950$  และเรือก็ใหม่สุดๆ เพิ่งเปิดให้ใช้บริการในวันที่  31 กรกฏาคม 2021. มีกิจกรรมสำหรับเด็กและครอบครัวเยอะมาก มีสวนน้ำขนาดใหญ่ และเป็นเรือสำราญรุ่นแรกที่มี รถไฟเหาะหรือ roller coaster อยู่บนเรือ สำคัญที่สุดคือชอบเส้นทางการเดินเรือ ขึ้นเรือที่ Port Canaveral Orlando, Florida จอดแวะที่ Nassau the Bahamas, Amber Cove Dominican Republic และ Grand Turk ทะเลแถบนี้ทั้งหมดเป็นทะเลที่สวย น้ำใสมาก

 


ห้องพักและการตกแต่งในเรือ

ภายในเรือออกแบบตกแต่งสวยงามมาก มีมุมถ่ายรูปสวยๆ เยอะแยะเต็มไปหมด ส่วนห้องพัก เราเลือกแบบห้องที่ไม่มีหน้าต่าง ระเบียง เพราะลูกเรานางซนมาก เพื่อความปลอดภัย ก็เลือกแบบไม่ต้องเปิดออกไปข้างนอกได้เป็นดีที่สุด 


ห้องพักของเราไม่ใหญ่มาก เตียงมีให้เลือกสองแบบ คือ แบบเตียงเดี่ยวใหญ่ๆ ไปเลย หรือเตียงเล็กสองเตียงข้างกัน หมอนและเตียงนุ่มมากๆ ใครที่ชอบนอนเตียงแข็ง อาจไม่ถูกใจ สิ่งที่น่ารักของที่นี่คือ หลังทำความสะอาดห้องเสร็จ พนักงานจะพับผ้าขนหนูเป็นรูปสัตว์ต่างๆ วางไว้บนเตียง น่ารักมากจน Elijah ลูกชายเราไม่กล้าใช้เลย

ทีวีในห้องขนาดใหญ่กำลังดี มีหนัง การ์ตูน ข่าวสารต่างๆ มาให้ดูพร้อม คือ อยากอยู่แบบพักผ่อนจริงๆ นอนในห้องทั้งวัน ก็มีสาระ ความบันเทิงให้ดูได้ ไม่เบื่อ

ห้องน้ำ เป็นห้องเล็กๆ แต่ประโยชน์ใช้สอยคือครบ เป็นแบบฝักบัว น้ำไหลไม่แรงแต่ความร้อนของน้ำคือร้อนแรงมาก 

สิ่งที่ชอบสุดในห้องเห็นจะเป็น ตู้เก็บเสื้อผ้า คือใหญ่ได้ใจมาก ใหญ่กว่าโรงแรมบางที่อีก มีหลายตู้ หลายชั้น ใส่ของได้สะใจมาก นอกจากนี้ยังมีโต๊ะเครื่องแป้งเอาไว้แต่งหน้า ไฟสีสวยใช้ได้เลย เวลาแต่งหน้าเห็นชัดดี ข้างใต้โต๊ะเครื่องแป้ง มีตู้เย็นเล็กๆ ไว้ให้ด้วย

ส่วนความรู้สึกเวลานอน คือ นิ่งและเงียบมาก ตอนแรกนึกว่าจะเวียนหัว แต่ไม่เลย นิ่งเหมือนไม่รู้สึกเลยว่าอยู่บนเรือ หลับสบาย ไม่อยากตื่นเลยทุกคน 


กิจกรรมบนเรือ

เรือมีทั้งหมด 19 ชั้น ร้านอาหาร และที่ shopping ซื้อของส่วนใหญ่จะอยู่ชั้น 6-8 ชั้นบนสุดจะมีสระว่ายน้ำและจอขนาดใหญ่ไว้สำหรับดูหนังตอนกลางคืน นอกจากนี้ก็จะมีกิจกรรมไว้ผ่อนคลาย เช่น สวนน้ำ รถไฟเหาะ บาสเกตบอล rope course, zipline และ mini golf 

ใครที่ชอบเดินเล่น shopping ที่นี่เป็นเหมือนสวรรค์ ร้านค้าเพียบ เดินได้ทั้งวัน แบบไม่เสียภาษี เหมือนในสนามบิน บางวันมีจัดลดราคาด้วย 

นอกจากนี้ก็จะมีสปาให้ผู้ใหญ่ได้ผ่อนคลาย มีนวดหลากหลายชนิดทั้ง Swedish Massage, Hot Stone Massage และ Deep tissue ส่วนเด็กๆ ก็จะมีห้องเล่นเกมส์สำหรับเด็กวัยรุ่น เด็กเล็กๆ หน่อยก็มีห้องอ่านหนังสือ ส่วนเด็กที่เล็กมากๆ ก็มี Daycare ไว้บริการสำหรับคุณพ่อ คุณแม่ที่ต้องการไปฟังเพลง ตามร้านอาหาร หรือเข้าคาสิโนที่เอาเด็กตัวน้อยเข้าไปไม่ได้ บริการฟรีจนถึงสี่ทุ่ม หลังจากนั้นเสียเงินชั่วโมงละ 8$

กิจกรรมบนเรือมีให้ทำตั้งแต่เช้ายันดึก ตารางกิจกรรมทั้งหมดหาได้จากใน app ของเรือ ทำให้เราวางแผนได้ง่ายว่าแต่ละวันเราจะทำอะไรกี่โมง ส่วนใหญ่เช้าๆ จะเป็นกิจกรรมพวก Bingo กิจกรรมที่สนุกๆ ส่วนใหญ่จะเริ่มตอนเย็น มีโชว์มายากล ละครเพลง ร้องเพลง ดนตรีสด ดนตรีบรรเลงพวกเปียโน กีตาร์ตามร้านอาหาร ใครอยากร้องเพลงเองก็มี Karaoke จ้า แต่มันไม่ได้เป็นห้องส่วนตัวนะ ต้องขึ้นไปร้องบนเวทีแล้วมีคนอื่นดูด้วย แบบ Karaoke คนแก่สมัยโบราณ คือต้องมีความกล้า และมั่นใจมาก ดิฉันไปนั่งฟังคือ แต่ละคนพลังเสียงสุดยอดมาก นึกว่าประกวดไมค์ทองคำ ฟังเพลินมาก 

กิจกรรมที่เราสองแม่ลูกชอบที่สุดก็เห็นจะเป็น Punchline Comedy อารมณ์เหมือนเดี่ยวของพี่โน้ส อุดม เราฟังเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็ไปกับนางทุกคืน คือมันต้องรู้วัฒนธรรมแบบลึกๆ รู้ว่าเขาพูดถึงใคร มันจึงจะ Get มุขที่เขาส่งมา 

แล้วก็มีอีกโชว์ที่อยู่คู่กับคนอเมริกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน Family Feud เขาก็เอามาทำแบบ Live โชว์บนเรือ ให้แขกที่มาเที่ยวสมัครเข้าแข่งขันและรับเงินรางวัลรอบละ 500$ อันนี้สนุกมาก เพราะแขกไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน ก็จะเผลอตอบอะไรแบบตลกๆ ออกมา

ใครที่ชอบเสี่ยงโชคเสี่ยงดวงก็ casino ได้เลยค่ะ เราสองแม่ลูกเป็นสายมรสพ ก็เดินชมโชว์แทบทุกคืน คือโชว์ที่นี่ต้องปรบมือให้เลยค่ะ 10 เต็ม 10 เปลี่ยนโชว์ทุกวัน มีความหลากหลายมาก ทั้งร้องเพลง มายากล ละครเวที Acrobat กายกำต่างๆ 

ทุกโชว์มีความอลังการดาวล้านดวงมาก แสง สีเสียง จัดเต็ม ร้องเพลงนี่คือความปังไม่ต่างจากพี่เอกชัย ศรีวิชัย หรือก็อต จักรพันเลย ยกมาทั้งวง มายากลก็ดูเพลิน ละครเวทีก็รัชดาลัยมากค่ะ เสียงร้องคือมีพลังมาก เนื้อเรื่องละครก็ดี เวที ฉาก องค์ประกอบต่างๆ ลงตัวสุดๆ 

คือพอดูโชว์แล้ว คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปจริงๆ เขาตั้งใจทำมากๆ เป็นโชว์ที่จริงๆ แล้วถ้าเราเสียเงินไปดูต้องจ่ายเป็น 100$ แต่เขาจัดให้เราดูฟรีๆ ในเรือ แบบไม่ยั้ง เป็นประสบการณ์ที่ดีและน่าประทับใจมาก

โชว์คืนสุดท้ายจะมีความอลังการที่สุด เขาจัดโชว์จากประเทศต่างๆ มารวมกัน แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าเราจะเป็นใคร มาจากไหน วัฒนธรรมจะแตกต่างกันแค่ไหน แต่พอเรามาอยู่ที่นี่เรามีความเป็นหนึ่งเดียวกัน คือ คนที่อยากจะมอบความรัก ความสุข และความปรารถนาดีให้คนรอบข้าง คือ concept โชว์ดีงามพระรามแปดมากค่ะ หยิบเอาความเด่นๆ ของแต่ละประเทศออกมาโชว์ได้เป็นอย่างดี ใครสายมหรสพ ต้องห้ามพลาดโชว์บนเรือค่ะ 

นอกจากกิจรรมที่พูดไปข้างต้นแล้ว ในเรือก็จะมี class ต่างๆ มาให้เราเลือกเรียน ค่าเรียนจะอยู่ที่ 35$ ต่อคน มี class เรียนทำพิซซ่า ทำพาสต้า ปั้นซูชิ ทำเค้ก ทำคุกกี้ ทำพาย และทำไอศกรีม ลูกดิฉันเลือกไอศกรีมค่ะ เพราะอย่างอื่น ดิฉันใช้นางทำที่บ้านบ่อยมาก ทำซูชิหรืออาหาร พ่อนางก็สอนบ่อย 

Class เรียนที่นี่เป็น class ขนาดเล็ก รอบหนึ่งรับนักเรียนไม่เกิน 10 คน อาจารย์ที่มาสอนก็เป็นหัวหน้า chef ของที่นี่ก็มาอธิบายวิธีการคร่าวๆ ก่อน เขาจะเตรียมอุปกรณ์ วัตถุดิบให้เราพร้อมทุกอย่าง ค่อยๆ สอนเป็นขั้นตอนแบบช้าๆ เราสามารถดูเขาสอนผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ station เราได้ด้วย แล้วนอกจากนี้จะมีผู้ช่วยมาสอนเราแบบตัวต่อตัวด้วย เผื่อเด็กๆ ไม่เข้าใจ 

ลูกดิฉันก็ตั้งใจทำเป็นอย่างดี กลัวออกมาไม่ดี เดี๋ยวไม่ได้กิน เขาสอนเราทำตั้งแต่ผสมไอศกรีม ทำ waffles cones และทำ crepe ผลงานที่ออกมาหน้าตาดีมากๆ ค่ะ รสชาติก็เลิศ เป็นกิจกรรมที่สร้างความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกได้เป็นอย่างดี ทำไปเถียงกันไป 

กิจกรรมที่พลาดไม่ได้บนเรือเลยก็คือ การแต่งตัวสวยๆ มาถ่ายรูปค่ะ บางคนแต่งตัวชุดราตรีหางปลาลากยาวมาเลยค่ะ หรือบางคนก็แต่งตัวธีมเดียวกันเป็นครอบครัวมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ในเรือตามมุมต่างๆ จะมีช่างภาพคอยถ่ายรูปให้เรา เราถ่ายได้ตลอดเลย จะกี่รูปก็ได้ ช่างภาพคือดีงาม คอยออกแบบท่าให้ด้วย จากนั้นเขาก็จะ upload ลง app ของ Carnival ใน account เรา แล้วเราก็เอาไปเลือกทีหลัง ลองซื้อมา 1 รูป Digital ราคา 1 รูป ประมาณ 15$ คุณภาพใช้ได้เลยนะคะ 


อาหารการกิน

มาต่อกันที่เรื่องอาหารการกิน เริ่มที่อาหารเช้า ห้องอาหารที่นี่มีให้เลือกหลากหลายมากทั้งแบบเป็นนั่งกินแบบสวยๆ ที่ร้าน มีคนมาเสิร์ฟเป็น course หรือใครอยากได้เร็วๆ ไม่ต้องรอก็มีอาหารเช้าอเมริกันแบบบุฟเฟ่ต์ เลือกตักได้เลย มีให้เลือกหลากหลายมาก ทั้งขนมปังปิ้ง มัฟฟิน ไข่แบบต่างๆ ทั้งไข่เจียว ไข่ดาว ผลไม้สด นม cereal มีให้เลือกแบบกินไม่หมด 

ร้านอาหารเช้าที่นี่ เปิดตั้งแต่ 7 โมงเช้า แต่เขาปิดตอนกันเร็วมาก 10.30 ก็ปิดแล้ว ตื่นก็ 10 แล้ว เหลือร้านเดียวที่เปิด คือ Brunch ปิดตอน 12 pm เรือนี้ดีอย่าง คือ จองทุกอย่างผ่าน app ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมต่างๆ หรือร้านอาหาร เราไม่ต้องไปต่อแถวให้เมื่อย โต๊ะพร้อมเมื่อไหร่เขาจะส่งเตือนผ่าน app เราก็เดินไปนั่งได้เลย 

อาหารที่นี่เสิร์ฟเป็น course เหมือนร้านอาหาร Fine Dining เลย เริ่มด้วยเครื่องดื่ม ขนมปังแบบต่างๆ ให้เลือก appetizer, Entree แล้วตบท้ายด้วย Dessert 

ดิฉันก็กินอะไรไม่ค่อยได้ค่ะ เพราะเป็นกรดไหลย้อน ต้องเลือกกินอาหารที่ย่อยง่าย ไม่เผ็ด ไม่เปรี้ยว ในเมนูที่กินได้ก็เห็นจะเป็น chia seed pudding และ avocado toast ยังดีที่เขามีมุมเล็กๆ ในเมนู สำหรับคนรักสุขภาพให้เลือก เราก็สั่งขนมปังมาให้ลูก ต่อด้วยสลัดและไข่ข้น Egg Benedict ที่นี่ก็น่ากินมาก 

อาหารกลางวันและอาหารเย็นที่นี่มีให้เลือกแบบหลากหลายมากๆ เรียกได้ว่าแทบทุกสัญชาติ มีทั้งแบบ street food พวก Pizza, Burger, Salad Bar, Taco ของฝั่งเอเชียเราก็มีขนมจีบ ซาลาเปา และไม่น่าเชื่อว่ามีบ๊ะจ่างเสิร์ฟบนเรือ ส่วนร้าน Burger ในเรือ  Guy’s Burgers เป็นของ chef ชื่อดังของอเมริกาอย่าง Guy Fieri, เจ้าของ award-winning food network ร้านนี้คนต่อแถวยาวทุกวัน อยากกินต้องใจเย็น นอกจากนี้ก็จะมีร้าน Fine Dining ทั้งอาหารอเมริกัน อิตาเลียน และเอเชียนให้เลือกทานแบบจุใจ ทานได้แบบฟรีๆ ราคารวมในตั๋วที่เราซื้อไว้แล้ว จะมีบางร้านที่เราต้องจ่ายเงินเพิ่มพวกร้าน Steak and Sea food แต่จ่ายเพิ่มแค่ 35$-55$ หรือถ้าเป็น Chef Table จะอยู่ที่ 99$

รสชาติอาหารอร่อยทุกร้าน Portion ขนาดอาหารที่เสิร์ฟกำลังดี ไม่เล็ก ไม่ใหญ่มาก ทานกำลังอิ่ม ส่วนตัวดิฉันชอบ Chibang เป็นร้านอาหารจีน และเม็กซิกัน เมนูที่ชอบคือ Beef and Broccoli เนื้อนุ่มกำลังดี รสชาติไม่จัดมาก แล้ววันที่เราไปกินคือ โชคดีมาก ร้านเขามี Free Lobster Day เลยสั่งมาสองจานเลย ในเรือถ้าไม่ใช่ Free Lobster Day หรือ Free Filet Mignon หากเราอยากจะสั่งต้องเพิ่มเงิน 23$ แต่ส่วนใหญ่วันแรกๆ กับวันท้ายๆ เขาจะจัด Free ให้ 

Lobster นี่ถ้าคนชอบกินรสจัดต้องปรุงเพิ่มนะ หรือคนไทยควรพกน้ำจิ้มซีฟู้ดไปเอง เพราะเขาอบแล้วปรุงแค่เกลือกับพริกไทย มีเนยมาให้ข้างๆ เล็กน้อย เสิร์ฟกับข้าว Risotto และบร็อคโคลี่นึ่ง 

สำหรับของหวาน ต้องยกนิ้วให้เลยนะ อร่อยทุกร้าน ที่เราสองแม่ลูกชอบก็คือ coconut tea tres leches อร่อยมาก หวานกำลังดี นุ่มละมุนลิ้นมากๆ 

ลูกชายดิฉันจะไม่โปรดร้านอาหารเอเชียนเท่าไหร่ นางชอบอาหารอิตาเลียน ร้านโปรดของนางคือ Cunina Del Capitano เราเริ่ม appetizers เบาๆ ด้วย Mussels and Clams อร่อยมาก Elijah สั่ง Nonna’s Meat Balls มา นางบอกสุดยอด

Entree มี Spaghetti Carbonara อันนี้หอมชีสมาก Short Ribs ชิมของลูกคำหนึ่ง คือรสชาติดีงามมาก มันนุ่มละมุนละไม รสชาติซอสกำลังดี ไม่จัดจ้านมาก ถ้าได้ไวน์แดงมาสักหน่อยนะ คือลงตัวมาก แล้ว Linguine Vongole นี่คือเส้นแข็งไปหน่อย แต่ซอสรสชาติใช้ได้นะ ไม่เปรี้ยวมะเขือเทศจนเกินไป 

ของหวานเด็กสั่ง Maple Ricotta Fritters กับ Tiramisu ตกแต่งน่ารักมากๆ รสชาติก็ดี ไม่หวานมาก ใครได้มาเรือนี้ แนะนำให้สั่งค่ะ 

บนเรือ เด็กๆ จะบันเทิง เริงใจมากค่ะ แต่คุณพ่อ คุณแม่อาจปวดหัวหน่อย เพราะมีไอศรีมฟรีเช้ายันดึก กินได้ไม่อั้น เด็กได้น้ำตาลเยอะๆ ก็จะมีพลังมากเป็นพิเศษ แต่ทีเด็ดไม่หมดแค่นั้น มีพิซซ่าเสิร์ฟถึงเช้าด้วยค่ะ เป็นแบบแป้งบางๆ รสชาติไม่เลียนมาก ลูกดิฉันมาต่อแถวรอทุกวันค่ะ ของโปรดนาง 

แล้วห้องอาหารแต่ละที่เขาจะมีโชว์พิเศษจาก servers ให้เราชมขณะรับประทานอาหารด้วย บางร้านเป็นร้องเพลง บางร้านเป็นมายากล วันที่เราไปพนักงานเสิร์ฟร้องเพลงเพราะมาก นึกว่านักร้องมาเอง  

บริการในร้านอาหาร ถือว่าใช้ได้เลยนะ ถือแม้จะช้าไปหน่อย เพราะคนในเรือเยอะ แล้วมากินพร้อมๆ กัน พนักงานมีน้อย ต้อง take order และเก็บโต๊ะไปพร้อมๆ กัน บางคอร์สยังไม่ทันเก็บจาน  ไม่ได้ทำความสะอาดโต๊ะเลย เพื่อนร่วมงานก็เอาอีก course มาเสิร์ฟให้เลย 

พนักงานที่นี่มาจากหลายประเทศมากๆ เรียกได้ว่าทั่วโลก มีทุกเชื้อชาติ ความ friendly และ service นี่ยกให้เลยอันดับหนึ่ง มารยาทดีทุกคน ขอโทษทุกครั้งที่เรารออาหารนาน หรือเขามาเก็บโต๊ะไม่ทัน ใส่ใจถามลูกเราว่ากินได้มั้ย เห็นลูกเราไม่ค่อยกิน ก็พยายามหาโน่นนี่มาเพิ่มให้ พนักงานคนไทยบนเรือก็มีเยอะมาก ภาษาอังกฤษเก่ง อัธยาศัยดีกันทุกคน

สำหรับร้านอาหารแบบเสียเงิน เราเลือกทานสองร้าน Bonsai Teppanyaki เป็นร้านอาหารญี่ปุ่น คล้ายๆ Chef Table นั่งล้อมวงหน้าเตาแล้วมี Chef มาทำอาหารให้กิน มีทั้งหมด 7 Courses ใช้เวลาการกินเกือบ 2 ชั่วโมง แต่บันเทิงมาก เพราะ Chef โชว์มายากลระหว่างทำอาหารไปด้วย อาหารคือ สด อร่อยมาก Miso Soup รสชาติกลมกล่อม Entree มีให้เลือกหลากหลายทั้ง Lobster, Salmon, Filet Mignon, Black Cod, Chicken ของหวานก็มาแบบยิ่งใหญ่อลังการมาก เสิร์ฟเป็นถาดค่ะ กินให้น้ำตาลขึ้นกันไปเลย 

ร้านที่สอง Fahrenheit 555 Steakhouse ร้านนี้จองยากมาก คนแน่น คิวเต็มตลอด ใครจะไปแนะนำให้จองล่วงหน้าก่อนเดินทางเลยค่ะ พอไปที่เรือแล้ว จองได้เวลาดึกตลอด แต่ก็ต้องยอมเพราะอยากลองชิม ร้านนี้ตกแต่งสวยงามมาก ดนตรีก็เพราะ บริการดีเลิศแบบภัตรคาร 5 ดาว 

ร้านนี้เสิร์ฟเป็นจานเล็กๆ น้อยๆ กินแบบผู้ดีมากๆ แต่อาหารตกแต่งสวยทุกจาน เริ่มต้นเสิร์ฟด้วยขนมปังเบาๆ กับเนยที่นุ่มและหอมมาก ต่อมาเป็น Lobster Soup รสชาติล้ำลึก กลมกล่อมมาก คือกินหมดแบบรวดเร็วไม่รู้ตัว ตามต่อมาด้วย Bone marrow อันนี่้เพิ่งเคยกินเป็นครั้งแรก คืออร่อยมาก เป็นแบบกระดูกแล้วข้างในอบชีส กินกับขนมปังกรอบ และเนื้อดิบ ดูแปลกๆ แต่เข้ากันดี เสียดายได้น้อย หมดเร็วมาก ส่วน Entree เราสั่งเป็น Surf and Turf แบบไม่ปรุงอะไรมาก เอาแค่พริกไทยกับเกลือ เนื้อนุ่มมาก หอมควันหน่อยๆ ส่วน Lobster ย่างก็หอม เนื้อหวานมาก ตบท้ายด้วยของหวานที่เป็น Highlight สำคัญของเรา ที่ดิฉันและลูกต่างตั้งตารอ เพราะพนักงานเสิร์ฟบอกว่าเด็ดมาก เป็นเหมือนช็อคโกแลตลูกโป่งกลมๆ แล้วเราต้องราดช็อคโกแลตร้อนๆ เพื่อให้ลูกโป่งเปิดออกมา เพื่อที่เราจะได้กินของหวานข้างใน คือแค่ได้เห็นก็อร่อยแล้วค่ะ ปรบมือให้กับความคิดสร้างสรรค์และการใส่ใจในรายละเอียดของ Chef อาหารทุกจานคือดีงาม ประณีตมาก ไม่ใช่แค่อิ่มท้อง แต่อิ่มตา อิ่มใจไปด้วย คือทุกอย่างมันลงตัว ดีงามมาก 



Shore Excursions

มาถึงการ Review ท่าเรือต่างๆ ที่เราจอดนะคะ Port แรกเราจอดที่ Nassau, Bahamas เรือเทียบท่าตอน 7 โมงเช้า อากาศดีมาก มีลมนิดๆ ไม่ร้อนมาก ในเรือจะ offer กิจกรรมตามชายฝั่งเยอะมาก ราคาเริ่มต้นที่ 50$ มีทั้งนั่งรถชมเมือง ดำน้ำ ไปสวนสัตว์ ปาร์ตี้ในเรือแล้วแวะตามเกาะต่างๆ จริงๆ อยากดำน้ำลึกถ้าไม่ติดลูกเพราะทะเลที่นี่สวยมาก น้ำใส สีเขียวมรกต งามไม่แพ้ทะเลใต้บ้านเราเลย แต่มีลูก เลยเลือกกิจกรรมที่เด็กสนุกสนาน พานางไปว่ายน้ำกับโลมา และปลากระเบน แล้วก็เล่นน้ำที่ชายหาด package ที่เราซื้อราคา 120$ ต่อคน รวมอาหาร เครื่องดื่ม มีไกด์มารับที่ท่าเรือ จากนั้นนั่งเรือไปที่  Blue Lagoon ใช้เวลาประมาณ 30 นาที วิวสองข้างทางสวยงามมาก บ้านเรือสองข้างทางจะเป็นแนว Mediterranean สีส้มอมชมพู แทรกด้วย Beach Cottage และ Colonial house ประปราย ดูเพลินมาก 

ทะเลที่ Blue Lagoon บอกเลยว่า wow มาก น้ำใส สีสวยมาก สีเขียวมรกต คือมองลงไปเห็นปลาข้างล่างได้เลย หาดสีขาว ทรายละเอียด นุ่ม ละมุนมาก อุณหภูมิน้ำกำลังดี ไม่เย็นจัด ต้นไม้ต่างๆ คล้ายๆ ที่ไทยทางใต้ มีต้นมะพร้าวสองข้างทาง ชวนให้นึกถึงบ้านมากๆ 

Port ที่สองที่เราจอดกันที่ Amber Cove, Dominican Republic Port นี้ offer กิจกรรมแนวบุกลุย adventure เยอะมาก ส่วนใหญ่จะเป็นพวกเดินป่า ปืนเขา เที่ยวน้ำตก ขับรถวิบาก ดิฉันเลือกกิจกรรมเบาๆ ที่เด็กทำได้ด้วย เป็น zip line and horse riding ราคาอยู่ที่คนละ 110$ ตอนเช้าๆ จะมีไกด์มารับที่ท่าเรือ เดินทางแบบบุกลุยมาก ผ่านป่าเขา ถนนลูกรัง และโคลนดิน ใช้เวลาประมาณ 30 นาที 

สาธารณรัฐโดมินิกัน Dominican Republic เป็นประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ ติดกับเปอร์โตริโก คิวบา และจาเมกา คนส่วนใหญ่พูดภาษาสเปน 

ลักษณะบ้านเรือนและความเป็นอยู่จะคล้ายๆ กับคนภาคใต้ของไทย สองฝั่งข้างทางจะมีร้านขายผลไม้ และของป่า ในหมู่บ้านก็จะมีร้านค้าเล็กๆ ขายของสด ขนมต่างๆ เหมือนกับที่ไทยเลย คนส่วนใหญ่ขับมอเตอร์ไซค์ เด็กแว้นเยอะมาก คนแก่ก็แว้นค่ะ ซิ่งทุกคนบอกเลย อยากจอดคุยกันก็จอดค่ะ ฉันมีเรื่องต้องเมาส์ รถข้างหลังรอได้รอไปค่ะ 

ทริปนี้เน้นการท่องเที่ยว ศึกษาธรรมชาติ จะไม่ได้เป็นแบบเที่ยวชมเมือง ดูวิวทิวทัศน์ ข้อดีคือ ได้ออกไปแบบนอกเมือง เห็นวิถีชีวิตของผู้คนในหมู่บ้านเล็กๆ เรียนพืชผักต่างๆ กินอาหารพื้นเมือง และทำกิจกรรมในป่า คือเป็นการท่องเที่ยวที่โดยส่วนตัวแล้วดิฉันชื่นชอบ และอยากให้ลูกลองทำดู 

ผู้คนประเทศนี้น่ารัก และใจดีมาก เป็นกันเอง คุยด้วยแล้วสนุกมาก วิถีชีวิตความเป็นอยู่ก็คล้ายๆ ของไทย สองข้างทางของหมู่บ้านที่เราเข้าไป แต่ละบ้านปลูกต้นไม้เหมือนที่ไทยเลยคือ ต้นมะม่วงหน้าบ้าน มะม่วงของเขาคือ สีม่วงจริงๆ ต้นกล้วยและสับปะรดหลังบ้าน สับปะรดคือเปรี้ยวมากทุกคน นางแลของเราอร่อยกว่า ส่วนกล้วยคือ อร่อย ลูกใหญ่นะ แต่รสชาติเหมือนกล้วยไข่บ้านเรา ส่วนผลไม้ที่เห็นปลูกกันเยอะๆ จะมีมะพร้าว มะม่วง โกโก้ สับปะรด มะเฟือง ส้มเขียวหวาน อะโวคาโด แก้วมังกร

เป็นครั้งแรกที่ลูกได้ลอง Zipline ตอนแรกนึกว่านางจะกลัวเพราะสูงมาก ที่ไหนได้นางบอกว่าสนุกและประทับใจมาก ส่วนการขี่ม้าก็เป็นอีกกิจกรรมที่เราสองแม่ลูกเพลิดเพลินมาก ม้าที่นี่ฝึกมาดีมากๆ ไม่ดีดกระโหลก รู้ว่าเวลาไหนต้องเดิน เวลาไหนต้องหยุด เดินก็เป็นแบบช้าๆ พอให้เราได้ชื่นชมธรรมชาติข้างทาง 

Port สุดท้ายที่เรือมาจอดคือ Grand Turk ที่นี่เราทำกิจกรรมเบาๆ มาก คือนั่งรถชมเมือง และเล่นน้ำที่ Beach ไกด์ก็พาชมเมือง zone ต่างๆ ก็มีโอกาสได้ไปชมเมืองเก่าอายุมากกว่า 100 ปี คล้ายๆ Phuket Old Town แต่มีความเก่า และบ้างหลังก็ดูร้างๆ ไกด์บอกว่าที่เขาไม่ได้ซ่อมเพราะ เจอพายุเฮอริเคนบ่อยครั้ง จนไม่มีเงินซ่อมแล้ว 

Guide เล่าว่า เกาะนี้เป็นเกาะเล็กๆ มีประชากรประมาณ 5,000 คน เป็นหนึ่งในหมู่เกาะเคคอสและหมู่เกาะเติกส์ เป็นอาณานิคมโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักร อาณานิคมนี้ตั้งอยู่ในทะเลแคริบเบียน ไม่ห่างจากฟลอริดามากนัก และมีชื่อเสียงในด้านสถานที่ท่องเที่ยวดำน้ำ และเป็นแหล่งหลบเลี่ยงภาษีของบริษัทต่างชาติ และ Grand Turk ยังเป็นเกาะที่มีเมืองหลวงตั้งอยู่ ซึ่งก็คือเมือง Cockburn Town พูดคนใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก และใช้สกุลเงิน USD

เมืองข้างนอกที่ไม่ติดกับชายหาด ดูมีความแตกต่างกันมาก ชายหาดดูสวยงาม มีเสน่ห์มาก แต่ข้างนอกคือ แห้งแล้งมาก สองข้างทางมีกระบองเพชรเยอะมาก และต้นไม้แห้งๆ ใกล้ตาย ไกด์เล่าว่าไม่ค่อยมีฝน พอมีฝนมาที ชาวบ้านต้องเอาโอ่งมารอไว้เพื่อเก็บไว้ใช้ แล้วสัตว์ที่พบบ่อยมากคือ ลา เดินเล่นตามถนนเหมือนไม่มีเจ้าของ

นอกจากชมเมืองแล้ว ก็ยังมีโอกาสได้มาดูของทะเลขึ้นชื่อของที่นี่ และฟังบรรยายเรื่องระบบนิเวศน์ ทรัพยากรธรรมชาติหลัก ๆ ของหมู่เกาะนี้ ได้แก่ กุ้งก้ามกราม หอยสังข์ และสัตว์น้ำมีเปลือก หอยเม่น หรือ อูนิ คนชอบไปดำน้ำเพื่อเอาไปขาย เพราะได้ราคาดี

ส่วนตัวชอบ port นี้สุดละในบรรดา 3 port ที่จอด น้ำทะเลสวยมาก สีฟ้าคราม ใสแบบเห็นไปถึงใต้ทะเล ตัวท่าเรือตกแต่งดี สะอาด เป็นระเบียบ กิจกรรมเยอะมากที่ port แทบจะไม่ต้องออกไปข้างนอกเลยก็สนุกได้ทั้งวัน

ตอนจบทริปมีแจกขนมขึ้นชื่อของเมือง spices cake อร่อยมากนะ รสชาติคล้ายๆ carrots cake อันนี้เป็นสิ่งที่สองคนแม่ลูก Enjoy สุดๆ ในทริปนี้ 

ความสนุกในเรือ มีตั้งแต่ต้นจนจบจริงๆ คืนท้ายๆ ในเรือจะมีการจัดปาร์ตี้ส่งท้ายให้ทุกคนมาร่วมสนุกกัน ดีเจเปิดเพลงยุค 90 เรียงไปเรื่อยๆ จนถึงเพลงดังในปัจจุบัน สนุกสนาน ดีงามมาก 

ความคุ้มค่า 

ทริปนี้เรียกได้ว่าไม่เสียดายเงินที่จ่ายไปเลย คุ้มค่าจริงๆ เฉลี่ย 7 วันจะอยู่ที่คนละ 135$ จริงๆ ถ้าท่องเที่ยวทั่วไปในอเมริกา ราคานี้เราก็จะพอจ่ายแค่โรงแรม กับอาหารนิดหน่อย แต่นี่เราจ่ายนี้เราได้โรงแรมแบบการบริการระดับ 5 ดาว อาหารฟรีแบบไม่อั้น กิจกรรมให้ทำบนเรืออีกเพียบ โชว์อลังการที่หาดูที่ไหนไม่ได้ ได้พักผ่อนและชาร์ตพลังจริงๆ มันคุุ้มยิ่งกว่าคุ้ม รวมค่าใช้จ่ายเบ็ดเสร็จต่อคนแล้วทริปนี้เราอยู่ที่ 

Cruise Charge 950$
Shore Excursion 220$
Tip for service 220$
Cruise Transfers 70$
Pocket money 200$
Plane ticket from Atlanta to Orlando (Round Trip) 300$

Total 1,960$

ตั๋วเครื่องบิน

ราคาตั๋วเครื่องบินถ้าจองเนิ่นๆ จะได้ราคาถูกมากๆ บางทีจาก Atlanta to Orlando ราคาแค่ 60$ สำหรับคนที่ต้องการเช็คราคาตั๋วเครื่องบินจากเมืองที่อยู่ไป Orlando สามารถเช็คได้ข้างล่าง จริงๆ แล้ว Carnival มีท่าเรือให้เลือกหลายเมืองมาก ลองเลือกท่าเรือใกล้ๆ กับเมืองที่อยู่จะได้ไม่เสียค่าตั๋วเครื่องบินมาก 

โรงแรมที่พัก 

การล่องเรือสำราญนั้น แนะนำว่าให้มาถึงก่อนวันที่จะขึ้นเรือสักหนึ่งวัน หรือ 2-3 วันได้ยิ่งดี ก็จะได้มาเที่ยวพักผ่อนก่อน เพราะถ้าเดินทางกับวันที่ขึ้นเรือเลยบางทีถ้าสายการบิน Delay เราอาจตกเรือได้ เรือส่วนใหญ่จะออกจากท่าเรือประมาณ 4 โมงเย็น แต่เขาจะเปิดให้เช็คอินตั้งแต่เที่ยงหรือบ่ายโมงเลย เพราะคนเยอะมากกว่าจะเช็คกระเป๋า ตรวจร่างกายก็ประมาณ 1-2 ชั่วโมง ระบบจะคล้ายกับการตรวจคนเข้าเมืองเวลาเราขึ้นเครื่องบิน

โรงแรมที่พักใน Orlando มีให้เลือกหลากหลายมาก ราคาก็ไม่แพงเกินไป อย่าง Days Inn by Wyndham Orlando เริ่มต้นที่ 39$ หรือ Magic Moment Resort and Kids Club ราคาเริ่มต้นที่คืนละ 45$ แต่โรงแรมที่หรูหรา เป็นที่นิยมหน่อยอย่าง Sheraton Vistana Resort Villas, Lake Buena Vista ราคาก็จะอยู่ที่คืนละ 150$ สามารถเช็ครายละเอียดเพิ่มเติมข้างล่าง

www.trip.com

ราคาเริ่มต้นคืนละ 40$

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

www.snaptravel.com

ราคาเริ่มต้นคืนละ 35$

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

wayaway.io

ราคาเริ่มต้นคืนละ 50$

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

สำหรับคนที่สนใจการท่องเที่ยวกับเรือสำราญกับ  Carnival Cruise Line สามารถเช็คราคา และเส้นทางการเดินเรือ เพิ่มเติมได้ที่ www.carnival.com