วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2563

ปักกิ่ง Beijing วันเดียวก็เที่ยวได้



วันนี้ร้านอาหารที่ฉันทำงานอยู่คนไม่ค่อยแน่นเท่าไหร่ ฉันเลยมีเวลาได้หายใจหายคอ มองไปรอบๆ ฉันมองไปที่โต๊ะ 21 โต๊ะหัวมุมร้าน เห็นป้าคนจีนอายุประมาณ 60 กว่าๆ กำลังนั่งดูเมนูอาหารภาษาอังกฤษอย่างงกๆ เงิ่นๆ เห็นแล้วฉันก็นึกถึงตัวเองตอนไปเที่ยวจีนไม่มีผิด

ฉันชอบเที่ยวคนเดียว ไม่ชอบมีไกด์ เวลาไปเที่ยวประเทศที่เขาไม่พูดภาษาอังกฤษกัน ฉันเลยไปไหนไม่ค่อยถูก ฉันนึกถึงตัวเองแล้วก็อดขำไม่ได้ ท่าทางฉันตอนไปเที่ยวปักกิ่ง Beijing เมื่อฤดูร้อนปีที่แล้วก็ดูสับสน งงๆ ไม่ต่างจากป้าเท่าไหร่ ด้วยความที่ปักกิ่งไม่ค่อยมีป้ายภาษาอังกฤษ ผู้คนก็ไม่ค่อยพูดอังกฤษกันเท่าไหร่ เลยทำให้การท่องเที่ยวของฉันเป็นไปอย่างลำบาก

จากแอตแลนต้า Atlanta บินไปปักกิ่ง ใช้เวลาประมาณ 16 ชั่วโมง ฉันเดินทางด้วยสายการบิน Air China เพราะราคาถูกกว่าสายการบินอื่นๆ ก็อย่างว่านะ บริการที่ได้รับก็ตามราคา เครื่องบินค่อนข้างเก่า เก้าอี้ก็จะเล็กกว่าสายการบินที่ฉันเคยนั่ง อาหารบนเครื่องฉันแทบไม่แตะเลย เพราะมันดูมัน และจืดชืดมาก สิ่งเดียวที่ทำให้ฉันมีความบันเทิงเริงใจ ก็เห็นจะเป็นหนังบนเครื่องนี้แหละ หนังเอเชียพวกจีน ญี่ปุ่น เกาหลี หนังรักโรแมนติกแบบที่ฉันชอบมีให้เลือกเยอะมาก ฉันนั่งดูจนลืมวันลืมคืน ลืมความเจ็บปวดจากการนั่งบนเก้าอี้แข็งๆ แคบๆ ไปเลย 


ฉันกับลูกเดินทางถึงสนามบินปักกิ่งตอนเช้ามืด สนามบินใหญ่น่าดู มีอาคารโดยสารถึง 3 อาคาร เวลาจะไปไหนแต่ละที ต้องนั่งรถไฟในสนามบินไป เจ้าหน้าที่ในสนามบินพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ ทำให้ฉันเสียเวลาอยู่นานกว่าจะงมหาที่ทำวีซ่าชั่วคราวได้ ด้วยความที่ฉันกับลูกถือพาสปอร์ตอเมริกัน เวลาจะเข้าจีนต้องทำวีซ่าก่อน แต่ฉันมาแวะเที่ยวแค่วันเดียวเอง เจ้าหน้าที่สถานทูตจีนในอเมริกาเขาเลยแนะนำว่า ไม่ต้องเสียเงินทำวีซ่าแบบจริงจังหรอก ใช้แค่วีซ่าชั่วคราวที่สนามบินได้เลย

ขั้นตอนการขอวีซ่าไม่ยุ่งยากเลย เจ้าหน้าที่แค่ถามคำถามว่ามาจากไหน จะไปเที่ยวไหนบ้าง และจะกลับวันไหนเท่านั้นเอง แล้วก็เช็คตั๋วเครื่องบินไปกลับของฉันกับลูก เป็นอันจบพิธี



เวลาไปเที่ยวต่างประเทศหรือในประเทศก็ตาม ฉันจะไม่ค่อยใช้บริการ Taxi ด้วยความที่แพงอย่างหนึ่งละ อีกอย่างคือ เราไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร กลัวเขาพาไปวน ไปทำอะไรไม่ดี ฉันเลยเลือกการเดินทางแบบขนส่งมวลชนมากกว่า ครั้งนี้ฉันเลือกนั่งรถโดยสารประจำทาง เพราะเส้นทางที่รถวิ่งผ่านจะเป็นทางที่คนไปเรียน ไปทำงาน ทำให้ลูกได้เห็นวิถีชีวิตของคนที่นี่จริงๆ

ตอนที่ฉันไปถึงสถานีรถประจำทางในสนามบิน ฉันแทบจะตะลึง ไม่มีป้ายภาษาอังกฤษเลยคะ ฉันยืนดูแผนที่อยู่นานก็ดูไม่ออก เลยไปขอความช่วยเหลือจากคนขับรถและคนขายตั๋ว ทั้งคู่ก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ฉันพยายามเปิดเว็บไชต์แปลภาษา ก็ใช้ไม่ได้อีก ที่จีนเขาจะจำกัดการใช้อินเตอร์เน็ต อย่างพวก Facebook เนี่ยเข้าไม่ได้เลย เว็บไชต์บางเว็บก็เข้าไม่ได้ ใจคอฉันเริ่มไม่ดีละ ไม่รู้ทำไงดี ฉันนิ่งไปอยู่นาน อยู่ๆ ก็คิดขึ้นมาได้ว่า ฉันเคยเก็บรูปถ่ายจัตุรัสเทียนอันเหมิน Tienanmen Square ไว้ในโทรศัพท์มือถือ เพราะอยากให้ลูกศึกษาที่เที่ยวก่อนออกเดินทาง ฉันเลยยื่นให้ลุงคนขับรถดู เขาก็ชี้สายรถที่ฉันต้องนั่ง พาไปซื้อตั๋ว และพาไปนั่งรถพร้อมบอกคนขับว่าฉันจะไปไหน ถึงจะพูดกันไม่รู้เรื่อง แต่ฉันก็สัมผัสได้ว่าคนที่นี่ใจดีไม่น้อย

ตัวรถประจำทางข้างนอกยังดูดีอยู่เลย ข้างในสะอาดสะอ้าน เป็นระเบียบ รถที่ฉันนั่งเป็นรถสาย 7 เดินทางจาก Airport West Railway Station รถออกทุกๆ 30 นาที สำหรับคนที่อยากเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนของปักกิ่ง ฉันแนะนำให้เข้าไปศึกษาข้อมูลในเว็บไชต์นี้ก่อน www.travelchinaguide.com ให้ข้อมูลการเดินทางไว้อย่างละเอียดเลยละ ทั้งการเดินทางด้วยรถบัส รถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน รถทัวร์

การท่องเที่ยวครั้งนี้ฉันมีเวลาแค่วันเดียวเอง เพราะฉันแค่มารอต่อเครื่องไปไทย ฉันเลยคัดแค่สถานที่เด็ดๆ เท่านั้น ญาติผู้ใหญ่ของฉันหลายคนพอรู้ว่าฉันแวะเที่ยวแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็คัดค้านใหญ่ ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกัน รอให้พร้อมก่อนแล้วค่อยไป ให้มีเวลาสักอาทิตย์ มีเงินให้เที่ยวแบบสบายๆ อย่าเอาลูกออกไปตะลอนเลย มันร้อน มันอันตราย

แต่ก่อนฉันเป็นแบบนั้นนะ เป็นพวก perfectionism ต้องรอให้ทุกอย่างพร้อม เป็นไปตามขั้นตอนที่คิด ที่วางแผนไว้ก่อนถึงจะทำ ถ้าฉันรู้ว่าทำแบบไม่พร้อม แล้วผลออกมาไม่ดี ฉันก็จะยังไม่ทำ แต่ฉันพบว่าเวลาเป็นแบบนี้ มันทำให้ฉันพลาดอะไรหลายอย่างไป บางทีเราก็ไม่รู้ด้วยซ้ำเมื่อไหร่จะพร้อม แล้วก็ไม่ได้ทำสักที ครั้งนี้ฉันเลยตั้งใจเมื่อมีโอกาสมาถึงแล้ว ฉันจะก็ลงมือทำเลย ทำไปตามความพร้อมและงบประมาณที่ฉันมีอยู่ ไม่ต้องเที่ยวแบบหรูหราอะไรมาก แค่ได้พาลูกไปเปิดหูเปิดตา สัมผัสวัฒนธรรมใหม่ๆ ที่ลูกไม่เคยเห็น ไม่เคยได้เรียนรู้ ได้ชิมอาหารจีนแบบต้นตำรับ แค่นี้ก็พอแล้วนะ  

การจราจรที่ปักกิ่งไม่ต่างกรุงเทพเลย มีทางด่วน ถนนใหญ่ๆ เส้นทางไฮเวย์เยอะมาก ตอนเช้าช่วง 8 โมง รถติดเป็นชั่วโมง จนลูกลิงของฉันเผลอหลับไป พอไม่ต้องดูลูก ฉันก็มีเวลาดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบๆ ฉันมองไปนอกหน้าต่าง ตึกที่นี่เก่าพอสมควร มีทั้งตึกแบบทันสมัย และตึกแบบจีนโบราณผสมผสานกันไป เมืองค่อนข้างแออัด ก็แน่สินะ เขาเป็นเมืองหลวงของจีนและเป็นหนึ่งในเมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในโลก มีจำนวนคนที่อาศัยอยู่ประมาณ 20,693,000 คน

ผู้คนในรถโดยสารก็ดูเป็นมิตร ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส พูดกับฉันไม่รู้เรื่อง แต่ก็พยายามมีบทสนทนา ถามว่าฉันจะไปไหน พยายามจะหาอะไรมาให้ลูกฉันหนุนหัวตอนนอน กล้วลูกฉันคอเคล็ด ดูไปก็เหมือนคนแก่แถวบ้านนอกที่ฉันอยู่เลย ถึงแม้จะไม่ใช่ลูกหลานเขา เขาก็ดูแลเอาใส่ใจเหมือนลูกเหมือนหลานเขาเลย 


ฉันนั่งรถอยู่ประมาณชั่วโมง ก็ถึงที่หมาย ตรงป้าย Qianmen Street คนในรถช่วยกันบอกว่าให้ลงป้ายนี้เลย เริ่มต้นทริปก็ประทับใจละ ฉันกับลูกเดินออกจากรถประจำทางด้วยรอยยิ้ม เดินเข้าไปตามซอยเล็กๆ เพื่อหาอาหารเช้าทาน พอเราเห็นร้านแรกที่ขายติ่มซำก็รีบตรงเข้าไปเลย ไม่ได้เช็คราคา หรือมองร้านรอบๆ ก่อน


ก็เช่นเคยคะ ในร้านไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้เลย ป้ายภาษาอังกฤษก็ไม่มี รูปก็ไม่มีให้ชี้ ฉันเลยเอาแบบง่ายๆ คนข้างๆ เขาสั่งอะไรก็ตามนั้นคะ ก็ได้ซาลาเปากับโจ๊กร้อนๆ มา รสชาติก็ไม่จัดจ้านเลย จืดมาก ฉันว่าอาหารจีนที่เยาวราชยังอร่อยกว่าต้นตำหรับอีกอะ


อิ่มท้องแล้ว สองคนแม่ลูกก็ออกไปถ่ายรูปเล่น สองข้างทางมีรูปปั้นคนจีนสมัยโบราณเต็มไปหมด เราเดินไปเรื่อยๆ ก็เจอร้านติ่มซำอีกหลายร้านเลย ราคาถูกกว่า มีอาหารให้เลือกเยอะกว่า คนขายก็เป็นมิตรและพูดภาษาอังกฤษได้ด้วย ฉันแอบเสียใจเบาๆ แต่ก็ช่างเถอะ เดี๋ยวค่อยแวะกลับมากินละกัน

ที่ปักกิ่ง สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นด้านประวัติศาสตร์ มีวัดดังๆ เยอะมาก เช่น Temple of Heaven หอสักการะฟ้าเทียนถาน ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานถึง 14 ปี เป็นสถานที่สำหรับประกอบพิธีเซ่นไหว้ฟ้าฝน จักรพรรดิของจีนจะต้องเสด็จทุกปีเพื่อกราบไหว้ขอบคุณสวรรค์ที่ช่วยบันดาลความสมบูรณ์พูนสุขแห่งพืชผลมาตลอดปี อีกสถานที่หนึ่งที่น่าสนใจก็คือ วัดลามะ หรือ ยงเหอกง ที่พำนักขององค์ชายสี่ในสมัยราชวงศ์ ชิง ตั้งอยู่ทางด้านฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงปักกิ่ง พระราชวังที่นี่ก็สวยมาก อย่างพระราชวังฤดูร้อน (Summer Palace) ในเขต Haidian ห่างจากกรุงปักกิ่งไป 15 กิโลเมตร มีสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศจีน และได้รับคัดเลือกจากองการ UNESCO ให้เป็นมรดกโลกในปี 1998

ช่วงฤดูร้อนนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นชาวจีนจากต่างเมือง เป็นนักเรียนมาทัศนศึกษา ฉันแทบไม่ค่อยเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติยุโรปหรืออเมริกาเท่าไหร่


อากาศช่วงเดือนกรกฏาคมร้อนพอสมควร ฉันกับลูกกินไอติมหมดไปหลายแท่ง ร้านขายของรอบจัตุรัสเทียนอันเหมินเหมือนร้านขายชำบ้านเราเลย มีขนมแปลกๆ ไอติมอร่อยๆ ให้เลือกเยอะ


ที่นี่กว่าจะข้ามถนนได้ ลำบากพอสมควร จะข้ามแบบมั่วๆ ไม่ได้ ตามสองข้างทางจะมีแผงเหล็กกั้นไว้ไม่ให้คนข้ามถนน แต่จะต้องลอดอุโมงค์ใต้ดินข้ามไป อุโมงค์ที่ว่านี้ก็ไม่ได้มีทุกมุมถนนนะคะ มีแค่ไม่กี่อัน จะข้ามทีต้องเดินรอบจัตุรัสคะ เพื่อหาอุโมงค์ข้ามถนน เวลาลงไม่เท่าไหร่ แต่เวลาขึ้นอุโมงค์นี้สิคะ บันไดเยอะยิ่งกว่าเดินขึ้นดอยสุเทพ ขานี้ล้ามากคะ เรียกได้ว่ากว่าจะไปถึงที่เที่ยว หมดแรงกันไปเลย

ตำรวจที่นี่ยืนอยู่แทบทุกจุด จนลูกฉันอดสงสัยไม่ได้ว่า เขามีเหตุการณ์ร้ายแรงอย่างไรจึงมีตำรวจออกมายืนมากมายขนาดนี้ บ้านเราเวลาตำรวจออกมาทำงานแบบนี้เราจะรู้สึกอุ่นใจ ปลอดภัย แต่กลับกันในอเมริกา เวลาบ้านเมืองเรียบร้อย ตำรวจแทบจะไม่มีให้เห็น แต่พอมีประท้วง มีการจราจรที ร้านรวงต่างๆ จะปิดหมด ผู้คนจะอยู่ที่บ้าน ตำรวจจะออกมายืนเรียงราย เต็มถนนไปหมด

ฉันดีใจนะที่เวลามาเที่ยวแล้วลูกรู้จักสังเกต ตั้งคำถาม หาคำตอบในสิ่งที่สงสัย นั่นหมายถึงว่าลูกฉันได้เรียนรู้อะไรเพิ่มมากขึ้นแล้ว ได้รู้อะไรที่ไม่ได้เรียนในห้องเรียน ได้ศึกษาจากสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกจริงๆ




เราเดินฝ่าแดดร้อนมาสักพักก็ถึง จัตุรัสเทียนอันเหมิน จัตุรัสที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ของโลก (เคยเป็นจัตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในโลกจนกระทั่งปี 1976) มีพื้นที่ทั้งสิ้น 440,000 ตารางเมตร สามารถจุประชากรได้ถึง 1,000,000 คน ถือได้ว่าเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ และเป็นสถานที่จัดพิธีฉลองเนื่องในโอกาสสำคัญต่างๆ ของประเทศจีน



จัตุรัสเทียนอันเหมิน สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1417 ในสมัยราชวงศ์หมิงมีชื่อเดิมว่า "เฉิงเทียนเหมิน" ต่อมาในรัชสมัยของ สมเด็จพระจักรพรรดิซุ่นจื้อแห่งราชวงศ์ชิง ทรงโปรดฯให้มีการบูรณะขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 1651 และยังทรงโปรดฯให้เปลี่ยนชื่อเป็น "เทียนอันเหมิน" คำว่า ‘เทียน’ แปลว่า ฟ้า ‘อัน’ แปลว่า ผาสุก ‘เหมิน’ แปลว่า ประตู


จัตุรัสนี้ล้อมรอบด้วยสถาปัตยกรรมที่มีความสำคัญ ได้แก่
หอประตูเทียนอันเหมินที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือสุดของจัตุรัส ธงแดงดาว 5 ดวงผืนใหญ่โบกสะบัดอยู่เหนือเสาธงกลางจัตุรัส อนุสาวรีย์วีรชนใจกลางจัตุรัส มหาศาลาประชาคมด้านทิศตะวันตกของจัตุรัส ตลอดจนพิพิธภัณฑ์การปฏิวัติแห่งชาติ และพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ชาติจีนทางฝั่งตะวันออก นอกจากนี้ทางด้านทิศใต้ยังมีหอรำลึกประธานเหมา และหอประตูเจิ้งหยางเหมิน




สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของประเทศจีนที่ปรากฏตามสื่อทั่วไปก็คือ พลับพลาสีแดงที่มีรูปภาพขนาดใหญ่ของท่านประธานเหมาเจ๋อตุงประดับอยู่ นักท่องเที่ยวที่ต้องการจะเยี่ยมชมพระราชวังต้องห้ามจะต้องเดินข้ามสะพานหินหยกขาวเข้าไป (ประตูตรงกลางห้ามเข้าให้เฉพาะเจ้าหน้าที่เท่านั้น) บนฝาผนังสองข้างของซุ้มประตูมีคำขวัญเขียนว่า “ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนจงเจริญ” และ “ความสามัคคีประชาชนทั่วโลกจงเจริญ” ประดับไว้ด้วย



ลูกฉันก็ไม่น้อยหน้าใคร ขอให้ฉันถ่ายรูปให้ใหญ่จะเอาไปอวดเพื่อนที่โรงเรียนตอนเปิดเทอม เราเดินเที่ยวอยู่พักใหญ่ ก็หิวอีกแล้ว เลยเดินข้ามถนนไปกินบะหมี่แถวนั้น บะหมี่สีเหลืองกับผักกวางตุ้ง รสชาติใช้ได้เลยละ หรือฉันหิวไม่รู้ กินหมดชามเลย ฉันไม่อยากกินอะไรมากหรอก เพราะเก็บท้องไว้กินเป็ดปักกิ่ง อยากจะชิมจากต้นตำรับ

ที่นี่เวลาร้อนๆ ไม่รู้จะไปหลบแดดที่ไหน ฉันกับลูกก็อาศัยอุโมงค์ใต้ดินนี้แหละนั่งพักกัน อุโมงค์เป็นทางเชื่อมต่อกับรถไฟใต้ดิน พอลูกนั่งเล่นหุ่นยนต์ ฉันก็เลยมีเวลาไปศึกษาเส้นทางรถไฟใต้ดิน ซึ่งเข้าใจง่ายกว่ารถโดยสารประจำทางเยอะ มีภาษาอังกฤษกำกับด้วย หากใครที่จะเดินทางมาเที่ยวจัตุรัสเทียนอันเหมิน ขอแนะนำเลยคะ รถไฟใต้ดิน Line 1 สถานี Tiananmen East ทางออก  A หรือ Tiananmen West ทางออก B จะเจอซุ้มประตูเทียนอันเหมิน อยู่ติดกับพระราชวังต้องห้าม ซึ่งเป็นฝั่งเหนือของจัตุรัส หรือ Line 2 สถานี Qianmen ทางออก A จะเจอประตูเฉียนเหมินซึ่งเป็นฝั่งใต้ของจัตุรัสเทียนอันเหมิน



ก่อนเดินไปหาร้านเป็ดปักกิ่งอีกฝั่งหนึ่งของเมือง เราเดินผ่าน
ประตูเฉียนเหมิน (Qianmen Gate) ตั้งอยู่ทางใต้สุดของจัตุรัสเทียนอันเหมิน มีอายุกว่า 500 ปีสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิงในสมัยโบราณใช้เป็นประตูหลักของขบวนพระจักรพรรดิเวลาเสด็จเข้าหรือออกจากพระราชวังต้องห้าม ด้านบนเป็นหอคอยสูง 27.3 เมตรรวมกับฐานซุ้มประตูสูงถึง 42 เมตร ซึ่งถือเป็นซุ้มประตูที่สูงที่สุดในปักกิ่ง


สองคนแม่ลูกเดินไปตามถนนใกล้ๆ จัตุรัส มีหลายร้านเหลือเกินที่ขายเป็ดปักกิ่ง เหมือนถนนเยาวราชบ้านเรา ที่ขายของเหมือนๆ กัน ฉันไม่รู้จะเลือกร้านไหน เลยถามๆ คนแถวนั้นดู เขาก็ชี้มาร้านด้านหลังที่ฉันยืนอยู่ เดินก็ไม่ไกล ร้านก็ดูน่าเชื่อถือ เราเลยเดินเข้าไปในร้าน เจ้าของร้านยืนต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ช่วงนั้นเป็นช่วงบ่ายๆ คนไม่เยอะเท่าไหร่ พนักงานต้อนรับพาฉันกับลูกไปนั่งโต๊ะ พร้อมกับหาน้ำชามาให้ดื่ม ฉันแปลกใจที่พนักงานเสิร์ฟที่นี่พูดภาษาอังกฤษได้ดี สงสัยคงต้อนรับนักเที่ยวชาวต่างชาติเยอะ นางเอาใจลูกฉันมาก ช่วยชาร์จ ipad และโทรศัพท์ หาน้ำหวานมาให้เจ้าตัวเล็ก นางพูดเก่ง ชวนคุยไม่หยุด บอกของดีในร้าน เชียร์ให้ฉันสั่งโน่นนี่ นางบอกว่าเป็ดปักกิ่งต้องกินชุดใหญ่ไปเลย แต่ฉันมากับลูกสองคนเอง กินไม่หมด ฉันเลยขอแบบครึ่งตัว นางใจดีแถมซุปเป็ดปักกิ่งมาให้ด้วย พ่อครัวที่นี่มาตัดเป็ดโชว์ฉันถึงที่โต๊ะ พร้อมเสิร์ฟกับแผ่นแป้ง และแตงกวา 



ฉันกินไปคำแรก อร่อยมาก เป็ดรสชาติกลมกล่อม ไม่ต้องใช้น้ำจิ้มอะไรเลย ลูกฉันห่อเอง หยิบเข้าปากคำใหญ่ จริงๆ ลูกฉันเป็นคนกินยากนะ ไม่ค่อยลองอะไรใหม่ๆ แต่ฉันตั้งกฏกับลูกว่า เวลาไปเที่ยวต่างประเทศ ต้องลองกินอาหารพื้นเมืองของเขา ลองกินอะไรที่บ้านเราไม่มีขาย จะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไม่แม่ถึงทำงานหนัก เก็บเงินให้ลูกได้เที่ยวต่างประเทศปีละครั้งสองครั้ง เพราะแม่อยากพาลูกมาสัมผัสอะไรที่ลูกไม่เคยได้ลองในอเมริกา ลูกก็ยอมแต่โดยดี ชิมไปคำแรก วิจารณ์ไม่หยุด ได้เลือดพ่อมาเต็มๆ วิจารณ์ตัวแป้ง ตัวเป็ด ยันรสชาติของน้ำจิ้ม




ทริปนี้ถึงจะเป็นทริปสั้นๆ แต่ฉันก็สนุกมาก ฉันดีใจที่ได้ใช้เวลาอยู่กับลูกอย่างเต็มที่ ได้พาลูกมาเปิดหูเปิดตา และเรียนรู้โลกไปพร้อมๆ กับลูก




แม่เคยบอกฉันว่า เวลามีลูกไปไหนลำบาก เที่ยวจะไม่สนุก มันก็จริงที่ว่าการเที่ยวมันอาจจะไม่สะดวกเหมือนแต่ก่อนตอนเป็นโสด ที่จะไปไหนก็ได้ จะผจญภัยบุกลุยแค่ไหนก็ได้ แต่พอมีลูก มันก็เหมือนเป็นการฝึก ที่จะทำอะไรต้องวางแผน ต้องคิดให้รอบคอบ ต้องหาที่เที่ยวที่ปลอดภัย เที่ยวได้ทั้งแม่ลูก อาจไม่ผาดโผนเหมือนแต่ก่อน แต่ก็สนุกไปอีกแบบ ทริปนี้เป็นการพิสูจน์ว่า การมีลูกไม่ใช่อุปสรรคในการเที่ยว และการมีเวลาจำกัด ก็ไม่ได้ทำให้ความสนุกในการเที่ยวลดน้อยลงไปเลย



ทริปนี้ฉันได้ก้าวข้ามอะไรหลายอย่าง ฉันได้เรียนรู้ว่าเวลาแค่หนึ่งวัน เราก็เที่ยวได้ หากใจเราอยากจะเที่ยว เราจะจัดสรรเวลา หาสถานที่เที่ยวที่เหมาะสมเองแหละ  แต่ละวันเวลาผ่านไปเร็วมาก เวลาเราอยากจะทำอะไรก็ให้รีบทำ เพราะเราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เราจะได้ทำหรือเปล่า เราไม่จำเป็นต้องรอให้พร้อม เพราะเราไม่รู้หรอกว่าเมื่อไหร่เราจะพร้อม เมื่อโอกาสมาถึง ก็ให้คว้าไว้เลย อย่าสร้างข้อจำกัดให้ตัวเอง ว่าต้องรอให้มีเงินเท่านี้ มีเวลาเท่านี้ถึงจะเที่ยวได้ แต่ให้พยายามหาทางออกให้ตัวเอง เที่ยวตามข้อจำกัดที่ต้วเองมีอยู่ ให้ลองคิดว่ามีเวลาเท่านี้ มีเงินเท่านี้จะไปเที่ยวไหนได้บ้างจะดีกว่า

ลองพาตัวเองก้าวออกมาจาก comfort zone ออกไปเถอะ เชื่อว่าพอออกไปแล้ว หลายคนจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ประสบการณ์ที่เปลี่ยนให้เราเป็นอีกคนที่ต่างจากเมื่อวานแน่นอน





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น