วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ตัวอย่างจดหมายการรับรองค่าใช้จ่าย (SPONSORSHIP LETTER)


The American Embassy Bangkok
95 Wireless Road,
Bangkok 10330, Thailand




SPONSORSHIP LETTER

I Mr/Mrs………(ชื่อคนที่ออกค่าใช้จ่ายให้เรา)................, do hereby declare that Mr/Ms…………(ชื่อเรา)….................................., born on ……………........... is my…(ใส่ความเกี่ยวข้องว่าเป็นอะไรกัน เช่น ลูก หลาน)…………........... and promise to provide all the necessary financial support needed by him/her to cover his/her expenses for his/her .........ใส่จุดประสงค์ในการเดินทาง เช่น Study/Disney Summer Work Experience 2009 programs in ......... ใส่วันที่ เช่น March – May 2009.

I also declare that in cases of emergency I will compensate for all the losses on his/her behalf that may occur in any unexpected event. I also declare that my son/daughter will not become a liability to the state of the country he/she is going to for her higher education.

Yours sincerely,

Name:…………………………..............................
Address:………………………..............................
…………….……………………............................

Phone number :…………………….......................




Date/Place                                                   Signature

…………………………….                        ………………………………..                         






                       

วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ไขข้อข้องใจวีซ่าอเมริกา (US Visa)

ในการยื่นเรื่องทำวีซ่าอเมริกา บางครั้งหลายคนอาจมีข้อสงสัย ข้อข้องใจที่ไม่รู้จะไปถามใคร หรือหาคำตอบที่ไหน บทความนี้ได้รวบรวมคำถามและคำตอบจากเว็บไซต์ บล็อก และกระทู้ต่างๆ ไว้ให้คลายความสงสัยกัน

Q: จะไปอเมริกา แต่ไม่รู้จะขอวีซ่าประเภทไหนดี
A: อันนี้ต้องดูวัตถุประสงค์ของตนเองก่อนนะคะว่าไปเพราะอะไร จากนั้นก็เช็คคะว่าวัตถุประสงค์ ความตั้งใจของตนเองนั้นเข้าข่ายวีซ่าประเภทไหน ได้แก่
- ไปท่องเที่ยว เยี่ยมญาติ เยี่ยมแฟน B2
- เป็นตัวแทนบริษัทไปดูงาน ไปอบรมสัมนา B1
- ไปแลกเปลี่ยน เข้าร่วมโครงการ Au pair, Work and Travel, Disney Summer Work Experience J1
- ไปเรียนภาษา เรียนต่อด้วยทุนตนเอง F1

Q: อยู่เชียงใหม่ แล้วมาทำงานกรุงเทพ กลับไปขอวีซ่าที่เชียงใหม่ได้ไหม
A: ไม่ได้คะ ต้องขอที่กรุงเทพเท่านั้น เพราะมีใบรับรองงานการทำงานอยู่ที่กรุงเทพ ถือว่าอาศัย ใช้ชีวิตที่กรุงเทพ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเชียงใหม่ คนที่สามารถขอที่เชียงใหม่ได้ คือ คนที่เรียน ทำงาน หรืออาศัย ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงมีทะเบียนบ้านที่เชียงใหม่ แต่หมายถึงใช้ชีวิต กินอยู่ หลับนอน มีตัวตนอยู่ที่เชียงใหม่ หรือจังหวัดดังต่อไปนี้ ลำพูน, พะเยา, สุโขทัย, เชียงราย, แม่ฮ่องสอน, พิจิตร, ตาก, กำแพงเพชร, น่าน, พิษณุโลก, อุตรดิตถ์, ลำปาง, เพชรบูรณ์, แพร่ (อันนี้เป็นประสบการณ์ตรง เจอมากับตัวเองคะ ใครอยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติม ส่งข้อความคุยกันได้เลยคะ)

Q: ต้องมีเงินในบัญชีธนาคารเยอะขนาดไหนวีซ่าถึงจะผ่าน
A: วีซ่าผ่านไม่ผ่าน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินในบัญชีธนาคารเป็นสำคัญ แต่บัญชีธนาคารที่สามารถนำมาประกอบการยื่นขอวีซ่าได้นั้น ควรเป็นบัญชีธนาคารที่มีเงินเพียงพอกับค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว หรือเล่าเรียนที่อเมริกา อันนี้แล้วแต่ประเภทของวีซ่า และต้องเป็นบัญชีที่มีเงินหมุนเวียนตลอดเวลา หากเป็นคนที่มีงาน ก็ควรใช้บัญชีที่มีเงินเดือนเข้าออกทุกเดือน มีเงินเก็บพอสมควร หากเป็นนักเรียน นักศึกษาสามารถใช้บัญชีของผู้ปกครองได้ เพราะถือว่ายังเป็นนักเรียน นักศึกษา ไม่มีรายได้เป็นของตัวเอง

Q: หากไม่มีเงินในบัญชีธนาคารให้คนอื่นรับรองได้หรือไม่
A: ได้ แต่วีซ่าท่องเที่ยว เจ้าหน้าที่จะดูเอกสารของผู้ยื่นเป็นหลัก เพราะถือว่าหากจะเดินทางท่องเที่ยว ต้องมีการวางแผนล่วงหน้า มีความสามารถในการดูแลช่วยเหลือตัวเอง และมีเงินเก็บพอสมควร หากให้ผู้อื่นออกค่าใช้จ่ายให้ แสดงถึงหลักฐานการทำงานที่ไม่มั่นคง มีผลถึงหลักฐานที่แสดงว่าจะกลับเมืองไทย หากการงานไม่มั่นคง ไม่มีเงินเก็บ อาจละทิ้งงานที่เมืองไทย ไปทำงานที่อเมริกาได้ จะทำให้ผู้ยื่นไม่มีความน่าเชื่อถือได้ แต่หากเป็นนักเรียน ยังไม่มีรายได้ สามารถใช้บัญชีธนาคารของผู้ปกครองได้ ส่วนวีซ่านักเรียน แลกเปลี่ยน เข้าร่วมโครงการ คู่หมั้น แต่งงาน เจ้าหน้าที่ดูบัญชีธนาคารและหลักฐานอื่นๆ ของสปอนเซอร์ประกอบด้วย

Q: หากให้คนอื่นรับรอง หรือเป็นสปอนเซอร์ให้ต้องเตรียมหลักฐานอะไรบ้าง
A: คนที่เป็นสปอนเซอร์ต้องขอ Bank Statement และ Bank Guarantee จากธนาคาร พร้อมแนบบัตรประจำตัวประชาชน หนังสือรับรองการทำงานที่ระบุตำแหน่งงาน ระยะเวลาที่ทำงาน เงินเดือน โบนัส และเขียนจดหมายรับรองว่าเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ โดยออกค่าใช้จ่ายเพื่ออะไร เป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ และระยะเวลานานแค่ไหน ดูตัวอย่างการเขียนจดหมายได้ ที่นี่

Q: คนที่จะสามารถเป็นสปอนเซอร์ได้ ต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง
A: คนที่จะสามารถเป็นคนรับรอง เป็นสปอนเซอร์ได้นั้น ไม่ใช่ว่าจะเป็นใครก็ได้ ต้องมีเป็นคนที่มีความสนิท ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับเรา เช่น วีซ่านักเรียน คนที่จะเป็นสปอนเซอร์ได้ อันดับแรกควรเป็นพ่อ แม่ หากพ่อ แม่มีปัญหาด้านการเงิน ไม่มีเงินเก็บเพียงพอในธนาคาร ก็สามารถขอให้ญาติผู้ใหญ่ เช่น คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย คุณน้า คุณอา ช่วยเป็นสปอนเซอร์ให้ได้ โดยต้องมีคุณสมบัติ คือ เป็นบุคคลที่น่าเชื่อ มีหน้าที่การงานมั่นคง มีเงินเก็บพอสมควร มีบัญชีธนาคารที่มีเงินเข้าออก หมุนเวียนเป็นประจำ ส่วนวีซ่าคู่หมั้น และแต่งงานนั้น คนที่จะเป็นสปอนเซอร์ได้ คือ คู่หมั้น และคู่สมรส ที่คบหาดูใจกันมาเป็นเวลานาน เคยเจอกันมาก่อนในรอบ 2 ปี  เป็นพลเมืองอเมริกัน มีหน้าที่การงานมั่นคง มีเงินเก็บ มีรายได้หลังจากหักภาษีตามเกณฑ์ที่รัฐกำหนด และทำเรื่องเสียภาษีกับรัฐทุกปี



Q: วีซ่าท่องเที่ยวจำเป็นต้องมีแผนการเดินทางหรือไม่
A: ไม่จำเป็น แต่มีไว้ก็ดีคะ เหลือดีกว่าขาด เผื่อเจ้าหน้าที่เขาถามหา อยากดู เราก็มีให้ดูเลย อีกอย่างเป็นเอกสารที่แสดงให้เห็นว่าเราอยากเที่ยวจริงๆ มีการวางแผนล่วงหน้า มีแผนการกิจกรรมที่จะทำ แสดงให้เห็นความตั้งใจของเราว่าเราอยากไปเที่ยวจริงๆ

Q: ทำวีซ่าท่องเทียวไปหาแฟน ควรบอกความจริงไหมว่าไปหาแฟน กลัวบอกความจริงไปแล้วไม่ผ่าน
A: บอกความจริงไปเถอะคะ แสดงความจริงใจว่าเราไม่มีอะไรจริงๆ แค่อยากไปเที่ยว ปิดบังซ่อนเร้น เดี๋ยวเจ้าหน้าที่เขาก็จะยิ่งซักเยอะ ถามแยะ เขาก็จะสงสัยว่าเรามีอะไรในใจหรือเปล่า ไม่บริสุทธิ์ใจ มีโอกาสทำให้วีซ่าไม่ผ่าน เจ้าหน้าที่เขาทำงานมานาน สัมภาษณ์คนมาเยอะ เขาพิจารณาจากเอกสารที่ยื่น คำพูดจากการสัมภาษณ์ ท่าท่างต่างๆ เขาก็ดูออกคะ มีแฟนที่โน่น ไม่ใช่ว่าวีซ่าจะไม่ผ่านเสมอไป หลายคนบอกความจริงว่ามีแฟน วีซ่าผ่านแบบไม่ยากเย็นเลยคะ

Q: ถ้าได้จดหมายเชิญจากอเมริกา มีโอกาสทำให้วีซ่าท่องเที่ยวผ่านมากขึ้นหรือไม่
A: ไม่ค่อยมีผลอะไร วีซ่าท่องเที่ยวขึ้นอยู่กับเอกสาร หลักฐานของผู้ยื่นเป็นสำคัญ หนังสือเชิญมีหรือไม่มีก็ได้ บางคนไม่มีก็ผ่าน บางคนมีแต่วีซ่าไม่ผ่านก็มีเยอะแยะ ดังนั้นหากตัวเองไม่มีหนังสือเชิญ ไม่มีคนรู้จักที่อเมริกาทำเรื่องหนังสือเชิญให้ ก็ไม่ต้องเป็นกังวลคะ

Q: การแสดงภาระหนี้สินที่ไทย มีโอกาสช่วยให้วีซ่าผ่านมากขึ้นหรือไม่ 
A: พวกสัญญาเงินกู้ หนี้ต่างๆ ไม่จำเป็นต้องแสดงเลยคะ เพราะทำให้เจ้าหน้าที่วิเคราะห์ได้ว่า การงาน การเงินเราไม่มั่นคง และคิดได้ว่า หากมีหนึ่้สิน ทำไมไม่เอาเงินไปใช้หนี้ หรือต้องการไปทำงานเมืองนอก เพื่อหาเงินมาใช้หนี้ หรือ ต้องการหนีหนี้ที่มีอยู่ที่เมืองไทย ประมาณนี้คะ แต่หากกำลังผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนคอนโด โชว์เอกสารเหล่านี้ได้คะ เพราะแสดงว่าฐานะมั่นคงพอ มีเงินเหลือพอที่จะผ่อนทรัพย์สินเหล่านั้นได้ หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าโชว์ว่ามีหนี้สินที่เมืองไทย โชว์สัญญาเงินกู้สหกรณ์ หรือเงินกู้ธนาคารต่างๆ  แสดงถึงภาระผูกพัน อันนี้ไม่ใช่เลยคะ ภาระผู้พัน แสดงโดย หน้าที่การงานที่มั่นคง ทำมาหลายปี เงินดี สวัสดิการดี มีเงินเก็บพอสมควร แสดงถึงฐานะทางการงาน และการเงินที่มั่นคง มีเงินเหลือ พอที่จะท่องเที่ยวได้ ไม่ไปสร้างความเดือนร้อน หรือหนีไปทำงานเป็นแน่คะ หากมีเอกสารพวกหนี้สินเข้ามา จะแสดงให้เห็นว่า เงินเดือน เรายังไม่พอ การงาน การเงินยังไม่มั่นคงพอคะ 

Q: ขอวีซ่าแล้วไม่ผ่าน หากอยากทำเรื่องขอวีซ่าใหม่ ต้องรอนานแค่ไหน
A: หากเตรียมเอกสาร หลักฐานพร้อม และแน่นหนามากขึ้นก็ทำเรื่องขอใหม่ได้เลย ในการสมัครวีซ่าใหม่ นั้น ก็ยังคงต้องปฏิบัติตามกระบวนการทั้งหมด กรอกแบบฟอร์มการสมัครใหม่ ชำระค่าธรรมเนียมการสมัครวีซ่า อีกครั้ง หากการขอวีซ่าใหม่โดยที่ยังขาดหลักฐานที่หนักแน่นและมีนัยสำคัญที่สามารถแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ของผู้ขอวีซ่า อาจไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลการพิจารณาอนุมัติวีซ่าได้

Q: อยากได้วีซ่าท่องเที่ยวสิบปีต้องทำอย่างไรบ้าง
A: ข้อนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่เป็นสำคัญ ไม่มีกฏระเบียบ ข้อปฏิบัติตายตัวว่าต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้ ต้องมีเงินในบัญชีมากน้อยเท่าไหร่ หรือไปเที่ยวมาแล้วกี่ครั้ง บางคนมีเงินในธนาคารเยอะมาก วีซ่าไม่ผ่านก็มี บางคนเคยไปเที่ยวมาแล้วหลายครั้ง หลายที่ ได้วีซ่าท่องเที่ยวแค่ 3 เดือนก็มี บางคนขอครั้งแรกได้วีซ่าท่องเที่ยวสิบปีเลย ดังนั้นไม่ต้องหาวิธีการให้ยุ่งยากคิดมากเพื่อให้ได้มาสิบปี เอาแค่ให้ผ่านก่อนก็พอ

Q: หากไม่ได้ทำงานประจำ จะหาจดหมายรับรองงานจากไหนได้บ้าง
A: หากเป็นเจ้าของกิจการ มีธุรกิจเป็นของตัวเอง สามารถแสดงใบผู้ประกอบการ ใบจดทะเบียนการค้า หรือยื่นเอกสารที่แสดงความเป็นเจ้าของกิจการ หากทำงานทำไร่ ทำนา ทำสวน สามารถแสดงโฉนดที่ดินที่ตนเองเป็นเจ้าของไร่ นา หรือสวนนั้น พร้อมแสดงผลประกอบการรายปี และรูปถ่ายในการทำงาน หากทำงานตามสัญญาจ้าง ก็สามารถแสดงสัญญาจ้างงานได้

Q: ไปเที่ยวพร้อมกัน จำเป็นต้องสัมภาษณ์พร้อมกันหรือไม่
A: บางคนคิดว่าไปเที่ยวพร้อมกัน ต้องสัมภาษณ์วีซ่าที่เดียวกัน และเวลาเดียวกันเท่านั้น บอกเลยว่าไม่จำเป็น สัมภาษณ์คนละที่ คนละเวลาก็ได้ บางคนขอที่กรุงเทพ เพื่อนที่จะเที่ยวด้วยกันขอที่เชียงใหม่ คนละวัน วีซ่าก็ผ่าน ไปเที่ยวพร้อมกันได้

Q: หากจำเป็นต้องขอวันนัดสัมภาษณ์แบบเร่งด่วนเดินทางไปอเมริกาแบบเร่งด่วน ต้องทำอย่างไร 
A: หากมีความจำเป็นต้องขอวันนัดสัมภาษณ์วีซ่าแบบเร่งด่วน สามารถส่งอีเมล์เป็นภาษาอังกฤษไปที่ visasbkk@state.gov โดยใช้หัวเรื่องว่า “Request to Expedite a Non-Immigrant Visa Appointment
โดยอีเมล์ต้องมีรายละเอียดต่อไปนี้
  • ชื่อและนามสกุลผู้สมัครวีซ่า
  • หมายเลขยืนยันการนัดสัมภาษณ์ และวันนัดสัมภาษณ์ที่ท่านได้จองไว้ หรือหมายเลขใช้เฉพาะบุคคล (PIN) ของผู้สมัคร
  • เหตุผลที่ท่านต้องการวันนัดสัมภาษณ์วีซ่าที่เร็วขึ้น
  • ข้อมูลเฉพาะ ขึ้นอยู่กับชนิดของวีซ่าที่จะสมัคร 
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ thai.bangkok.usembassy.gov

Q: สถานทูตจะอนุมัติวีซ่าให้สูงสุด ระยะเวลาเท่าไหร่ 
A: แต่ละประเภท อนุมัติระยะเวลาแตกต่างกันออกไป ได้แก่ (ข้อมูลจาก www.educatepark.com)
ประเภทวีซ่า            เข้า – ออก                ระยะเวลาสูงสุด
B-1/ B-2                  Multiple              120 เดือน หรือ 10 ปี
F-1/ F-2                   Multiple                60 เดือน หรือ 5 ปี
J-1/ J-2                    Multiple                60 เดือน หรือ 5 ปี

ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า เราสามารถอยู่อเมริกาได้ตามระยะเวลาที่วีซ่าอนุมัติ แต่หมายถึงว่า ในระยะเวลาดังกล่าว เราไม่ต้องไปทำเรื่องขอวีซ่าอีก การที่จะเราสามารถอยู่อเมริกาได้นานแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ที่สนามบินในอเมริกา โดยจะประทับวันที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในประเทศอเมริกาไว้ในหนังสือเดินทาง (Passport)

Q: หาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องการทำวีซ่าได้จากที่ไหนบ้าง
A: มีหลายเว็บไซต์ที่ให้คำแนะนำดีๆ เกี่ยวกับวีซ่าอเมริกาทุกประเภท ได้แก่
1. thai.bangkok.usembassy.gov เว็บไซต์ของสถานทูต ให้คำแนะนำในการทำวีซ่าอย่างละเอียด
2. govisa.wordpress.com ให้ความรู้ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับขั้นตอนการทำวีซ่าอเมริกา คำแนะนำเมื่อถูกปฏิเสธวีซ่า ไม่ได้มีแค่คำแนะนำเรื่องวีซ่าอย่างเดียว แต่ยังมีบทความดีๆ เกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่อเมริกา ทุนการศึกษา การเดินทางและการท่องเที่ยวต่างประเทศ
3. www.ladyinter.com หากมีข้อสงสัย ข้องใจเกี่ยวกับอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวีซ่า การแต่งงาน การจดทะเบียน การขอกรีนการฺ์ด การใช้ชีวิต อาหารการกิน วัฒนธรรม การวางตัว และการทำงาน เข้าไปที่เว็บไซต์นี้ได้ มีผู้รู้มาช่วยตอบคำถาม ให้คำแนะนำดีๆ ให้ความช่วยเหลืออยู่เพียบ
4. www.usvisa4thai.com เว็บไซต์นี้ก็เช่นกัน มีข้อมูลวีซ่าอเมริกาครบทุกประเภท การทำกรีนการ์ด การเตรียมตัวท่องเที่ยวอเมริกา รวมถึงความรู้ด้านกฏหมายที่คนไทยควรรู้เมื่อเข้ามาอยู่ที่อเมริกา พร้อมผู้มีประสบการณ์ที่นำเสนอเรื่องราวดีๆ และคอยตอบคำถาม
5. www.pantip.com/cafe/klaibann/ ห้องไกลบ้าน มีผู้รู้เกือบทั่วสารทิศมาช่วยตอบคำถาม ไม่ใช่แค่เรื่องวีซ่า แต่สามารถถามได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมตัวเดินทาง ซื้อตั๋วเครื่องบิน จัดกระเป๋า วางแผนท่องเที่ยว การแลกเงิน การซื้อของ และการใช้ชีวิต เป็นต้น
6. readygoalamerica.blogspot.com เว็บไซต์นี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อนไปอเมริกา มีทั้งเรื่องราวการทำวีซ่า การหางานในอเมริกา อาหารการกิน เรื่องสะเพเหระต่างๆ เช่น วันหยุด วันสำคัญในอเมริกา การซื้อรถ การทำบัตรขับขี่ การทำบัตรห้องสมุด การเปิดบัญชีธนาคาร การโอนเงิน การคำนวณค่าใช้จ่ายในอเมริกา เป็นต้น

หากใครยังสงสัยอยู่ อยากได้ความกระจ่างชัดในเรื่องที่ไม่ได้เขียนไว้ข้างต้น ก็ฝากข้อความไว้ด้านล่างเลยจ้า

วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ยื่นเรื่องกรีนการ์ด (Green Card) ง่ายๆ ทำได้ด้วยตนเอง

หลังจากที่ห่างหายจากการเขียนบล็อกไปซะนาน ได้แต่ตอบคำถามในบล็อกอย่างเดียว หลังจากจัดการธุระต่างๆ เรียบร้อย ก็ได้โอกาสกลับมาเขียนอีกครั้ง

บทความนี้เขียนสำหรับคนไทยที่มีโอกาสไปเรียนต่อ ทำงาน เข้าร่วมโครงการ หรือแลกเปลี่ยนที่อเมริกา แล้วเกิดตกลงปลงใจแต่งงานกับชาวอเมริกัน และตัดสินใจจะใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกา ซึ่งหลังจากแต่งงานแล้วก็จะต้องมีการทำกรีนการ์ด (Green Card) หรือบัตรเขียว

หลายคนอาจสงสัยว่าทำได้ด้วยตนเองเลยเหรอ ใช่คะ ทำได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องจ้างทนายให้เปลืองเงิน โดยบทความนี้จะแนะนำวิธีการเตรียมตัวทำกรีนการ์ด ตั้งแต่การกรอกเอกสาร หลักฐาน ไปจนถึงการสัมภาษณ์

ก่อนอื่นนั้นเรามาทำความรู้จักกับเจ้ากรีนการ์ดกันก่อนเลยว่ามันคืออะไร มีกี่ประเภท

กรีนการ์ด (Green Card) เป็น
บัตรประจำตัวที่รัฐบาลอเมริกันออกให้สำหรับบุคลลที่ได้รับการอนุญาตให้เข้ามาอยู่อาศัยรวมทั้งทำงานอย่างถาวรในสหรัฐอเมริกา
 

แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ กรีนการ์ดแบบมีเงื่อนไข (Conditional Green Card) มีอายุ 2 ปี คนที่จะได้รับกรีนการ์ดประเภทนี้ ได้แก่ คนที่ขอกรีนการ์ดโดยการแต่งงานกับพลเมืองสหรัฐฯ รวมทั้งผู้ที่ได้รับสิทธิมีถิ่นที่อยู่จากการลงทุนเพื่อการสร้างงานในสหรัฐฯ อีกประเภทหนึ่งคือ กรีนการ์ดแบบถาวรที่ต้องต่ออายุทุกๆ 10 ปี โดยผู้ถือกรีนการ์ดทั้งสองแบบนั้นต่างมีสิทธิหน้าที่และความรับผิดชอบเท่า ๆ กัน ความแตกต่างระหว่างกรีนการ์ดทั้งสองแบบมีเพียงเล็กน้อย คือ กรีนการ์ดแบบมีเงื่อนไข จะหมดอายุภายใน 2 ปี จำเป็นต้องยื่นเรื่องเพื่อถอดถอนเงื่อนไขนั้นออกไป ถึงจะได้กรีนการ์ดถาวรแบบ 10 ปี 




สิทธิ

1. มีสิทธิอยู่อาศัยในสหรัฐฯ เป็นการถาวร โดยไม่กระทำการใดๆ เป็นผลให้สิทธิถูกถอดถอนไป
2. มีสิทธิทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
3. ได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายจากทางการสหรัฐฯ ทั้งกฎหมายระดับชาติ ระดับรัฐ และระดับท้องถิ่น
4. สามารถลงคะแนนเลือกตั้งในการเลือกตั้งประจำท้องถิ่น เฉพาะการเลือกตั้งที่ไม่จำกัดไว้สำหรับพลเมืองสหรัฐฯ

ข้อยกเว้น

- ไม่สามารถทำงานบางอย่างที่สามารถส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ ซึ่งจะจำกัดไว้ให้เพียงพลเมืองสหรัฐฯ เท่านั้น 
- ไม่สามารถลงคะแนนเลือกตั้ง สำหรับการเลือกตั้งที่จำกัดสิทธิไว้ให้เพียงพลเมืองสหรัฐฯ เท่านั้น

หน้าที่ความรับผิดชอบ

1. ต้องปฏิบัติตนภายใต้กรอบของกฎหมายสหรัฐฯ ทั้งกฎหมายระดับชาติ ระดับรัฐ และระดับท้องถิ่น 
2. มีหน้าที่ที่จะต้องยื่นใบคืนภาษีรายได้ (Income Tax Returns) และรายงานรายได้ต่อสรรพกรประจำรัฐและประจำประเทศ (US Internal Revenue Service and State IRS) 
3. จะต้องสนับสนุนหลักการประชาธิปไตย และไม่กระทำการใด ๆ เพื่อล้มล้างรัฐบาลด้วยวิธีการที่ผิดกฎหมาย 
4. หากเป็นเพศชาย อายุ 18-25 ปี จะต้องเข้ารายงานตัวเพื่อรับราชการทหาร

การที่จะได้มาซึ่งกรีนการ์ดนั้นมีด้วยกันหลายวิธี ได้แก่ 


1. การขอตั้งถิ่นฐานโดยผ่านทางสายสัมพันธ์ทางครอบครัว (Immigration through a Family Member) เรียงตามลำดับความสำคัญได้ตามนี้
- สามีภรรยา
- ผู้เยาว์ซึ่งยังไม่ได้สมรสอายุต่ำกว่า 21 ปี เช่น ลูก หลาน พี่ น้อง ลูกติดสามี ภรรยา
- บุตรที่ยังไม่ได้สมรสอายุเกิน 21 ปี
- บุตรที่สมรสแล้วไม่จำกัดอายุ
- พ่อ แม่ และพี่หรือน้องในกรณีที่สปอนเซอร์อายุตั้งแต่ 21 ปี

2. การขอตั้งถิ่นฐานโดยผ่านทางการจ้างงาน (Immigration through Employment) 

3. การขอตั้งถิ่นฐานโดยผ่านการลงทุน (Immigration through Investment) 

4. การขอตั้งถิ่นฐานโดยผ่านทางโครงการเสี่ยงโชคกรีนการ์ด (Immigration through the Diversity Lottery) โดยใช้วิธีสุ่มจับหมายเลขผู้สมัครกรีนการ์ดลอตโตรี่จากทั่วโลก ผู้ที่ได้รับกรีนการ์ดประเภทนี้ยังสามารถพาคู่สมรส และบุตรที่ยังไม่ได้สมรสอายุต่ำกว่า 21 ปี มาอยู่ด้วยได้


หลังจากที่รู้จักกรีนการ์ดมาพอสมควรแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนดำเนินการ

1. เริ่มจากการแต่งงาน จดทะเบียนสมรส และขอใบทะเบียนสมรส (Marriage Certificate) แต่ละรัฐจะใช้เวลาในการขอใบทะเบียนสมรสแตกต่างกันออกไป อย่างน้อยประมาณ 1 อาทิตย์หลังจากที่ทำเรื่องจดทะเบียนสมรสแล้ว

2. ไปหาหมอเพื่อขอใบรับรองด้านสุขภาพ (Report of medical examination and vaccination record) ขั้นตอนนี้จะมีการตรวจร่างกาย ตรวจเลือด เอ๊กซเรย์ปอด ทำ TB Skin Test และฉีดวัคซีน โดยสามารถเช็ครายชื่อคลินิค หรือโรงพยาบาลที่สามารถทำใบรับรองสุขภาพได้ ที่นี่ ค่าใช้จ่ายประมาณ 200-400 USD ใช้เวลาประมาณ 2-5 วัน แพทย์จะกรอกรายงานสุขภาพลงในแบบฟอร์ม I-693 จากนั้นจะเอาแบบฟอร์มให้เรา 2 ชุด ตัวจริง 1 ชุดใส่ซอง ปิดผนึก ห้ามเปิด เราใช้ตัวนี้ในการยื่นเรื่องกรีนการ์ด ส่วนอีกอันเป็นสำเนาให้เราเปิดดูรายละเอียดได้

3. กรอกแบบฟอร์ม สามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มทั้งหมดได้ที่ www.uscis.gov

4. เตรียมเอกสารหลักฐานของทั้งสองฝ่าย

5. ส่งเอกสารทั้งหมดพร้อมเช็คทางไปรษณีย์

6. สามารถเช็คสถานะการดำเนินเรื่องทางเว็บไซต์ www.uscis.gov หรือใช้บริการการส่งความเคลื่อนไหวผ่านข้อความทางมือถือได้

7. หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือนจะได้รับจดหมายให้ไปพิมพ์ลายนิ้วมือและถ่ายรูป เป็นรูปใช้ติดในกรีนการด์ ดังนั้นควรแต่งหน้าและทำผมให้ดูดี เป็นพิเศษ

8. หลังจากวันที่พิมพ์ลายนิ้วมือผ่านไปประมาณ 1-3 เดือน ก็จะได้รับจดหมายให้ไปสัมภาษณ์ ขั้นตอนนี้ต้องเตรียมตัวให้พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ เตรียมตอบคำถามให้ดี เตรียมหลักฐานให้แน่นหนา จะผ่านไม่ผ่านก็ขึ้นอยู่กับขั้นตอนนี้เป็นสำคัญ โดยมีข้อควรปฏิบัติดังนี้
- ทำใจให้สบาย ไม่ต้องวิตกกังวลเกินไป
- ตรวจสอบสถานที่สัมภาษณ์ว่าตั้งอยู่ที่ไหน สามารถเดินทางได้อย่างไร และใช้เวลาในการเดินทางเท่าไหร่ หากจะให้ดีก่อนวันสัมภาษณ์ควรซ้อมเดินทางจากบ้านไปที่สถานที่สัมภาษณ์ ทั้งนี้เพื่อจะได้แน่ใจว่าสถานที่ตั้งอยู่ตรงไหน และเราสามารถเดินทางไปถูก ไม่หลงทาง
- แต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย ดูน่าเชื่อถือ
- มาถึงก่อนนัดหมายประมาณ 15-30 นาที
- เตรียมเอกสารหลักฐานให้ครบทั้งตัวจริง และสำเนา และจัดเรียงให้เป็นหมวดหมู่
- อย่าลืมรูปถ่ายของทั้งสองฝ่ายที่เคยเที่ยวด้วยกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน แต่งงาน และฮันนีมูน หรือรูปถ่ายครอบครัวที่บอกเล่าเรื่องราว แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย ควรจัดรูปใส่อัลบั้ม (เรียงจากอดีตจนถึงปัจจุบัน) พร้อมบรรยายใต้ภาพด้วยข้อความสั้นๆ เป็นภาษาอังกฤษ
- ตอบคำถามให้ชัดเจน ตรงประเด็น โปร่งใส จริงใจ สามารถดูตัวอย่างคำถามสัมภาษณ์ได้ ที่นี่
- หากไม่เข้าใจคำถาม ขอให้เจ้าหน้าที่ถามอีกรอบ หรืออธิบายคำถาม อย่าตอบแบบส่งๆ หรือขอไปที
- ในวันที่สัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ก็จะบอกผลเลยว่าผ่านหรือไม่ หากไม่ผ่านควรถามเหตุผลที่ทำให้เรื่องไม่ผ่าน และวิธีปฏิบัติต่อไป

9. หากเรื่่องผ่าน ภายใน 1-3 สัปดาห์ ก็จะได้รับกรีนการ์ด



หลักฐานเอกสารที่ต้องเตรียม

เอกสารที่ต้องเตรียมแบ่งออกเป็น 4 ส่วนใหญ่ด้วยกัน ได้แก่ เอกสารของเรา, เอกสารของคู่สมรส เอกสารที่ต้องยื่นร่วมกัน และเช็ค

1. เอกสารของเรา
- สำเนาพาสปอร์ตหน้าแรก และหน้าที่มีวีซ่าอเมริกา
- สำเนา I-94 แบบฟอร์มเข้าประเทศอเมริกา เอกสารนี้พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจะเอามาให้เรากรอก จากนั้นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจะประทับตราวันที่เราเข้าประเทศ และวันที่เราต้องเดินทางออกจากประเทศอเมริกา
- รูปถ่าย ขนาด Passport Size พื้นหลังสีขาว หน้าตรง ไม่สวมหมวก ไม่สวมแว่น จำนวน 2 รูป เขียนชื่อ นามสกุล ติดหลังรูปให้เรียบร้อย สามารถถ่ายรูปได้ที่ Walgreens
- ใบเกิด (Birth Certificate) ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษเรียบร้อย และได้รับการรับรองจากกรมการกงศุล กระทรวงต่างประเทศ หรือ Public Notary ที่ใกล้บ้านเรา
- ใบทะเบียนสมรส (Marriage Certificate) 
- แบบฟอร์ม G-325A – biographic information อันนี้เป็นแบบฟอร์มข้อมูลเกี่ยวกับตัวเราว่าเป็นใคร เกิดที่ไหน อาศัยอยู่ที่ไหน ทำงานอะไรมาก่อน แต่งงานวันไหน คู่สมรสชื่ออะไร 
- แบบฟอร์ม I-693 - report of medical examination and vaccination record แบบฟอร์มการตรวจร่างกาย และประวัติการฉีดวัคซีน ที่ได้รับการรับรองจากแพทย์ 
- แบบฟอร์ม I-485 application to register permanent residence or adjust status แบบฟอร์มการสมัครขอกรีนการ์ด
- แบบฟอร์ม I-765 application for employment authorization แบบฟอร์มขออนุญาตทำงาน อันนี้มีหรือไม่มีก็ได้ แล้วแต่ความต้องการของแต่ละคน ตามกฏหมายของอเมริกัน หากยังไม่ได้รับกรีนการด์ ห้ามทำงาน หากอยากทำงานอย่างถูกต้องตามกฏหมายในระหว่างช่วงที่รอกรีนการ์ดก็ควรกรอกแบบฟอร์มนี้เพื่อที่จะได้รับใบอนุญาตทำงาน
- แบบฟอร์ม I-131 application for travel document แบบฟอร์มขออนุญาตออกนอกประเทศ ในระหว่างช่วงที่รอกรีนการ์ดนั้น ไม่ควรเดินทางออกนอกประเทศ หากมีความจำเป็นต้องออกนอกประเทศ ควรกรอกแบบฟอร์มนี้ไปด้วย 

2. เอกสารของคู่สมรส
สำเนาพาสปอร์ตหน้าแรก
- รูปถ่าย ขนาด Passport Size พื้นหลังสีขาว หน้าตรง ไม่สวมหมวก ไม่สวมแว่น จำนวน 2 รูป เขียนชื่อ นามสกุล ติดหลังรูปให้เรียบร้อย
- สำเนาใบเกิด (Birth Certificate) ของคู่สมรส
- สำเนา Tax return and W-2s เอกสารการใบขอคืนภาษีย้อนหลังอย่างน้อย 3 ปี 
- สำเนาสลิปเงินเดือน 3 เดือนล่าสุด 
- จดหมายรับรองการทำงาน ระบุตำแหน่งงาน ระยะเวลาที่ทำงาน เงินเดือน โบนัส พร้อมตราประทับของบริษัท 
- แบบฟอร์ม G-325A – biographic information เหมือนกับของเรา แต่เป็นข้อมูลขอผู้สมรส
- แบบฟอร์ม I-130 petition for alien relative แบบฟอร์มสปอนเซอร์ โดยคนที่จะเป็นสปอนเซอร์ให้เราได้นั้นจะต้องเป็นพลเมืองอเมริกันหรือผู้อาศัยถาวร ที่มีรายได้หลังหักภาษีตามเกณฑ์ที่รัฐกำหนด 
- แบบฟอร์ม I-864 affidavit of support แบบฟอร์มข้อมูลรายได้ และการเสียภาษีของคู่สมรส 

3. เอกสารที่ต้องยื่นร่วมกัน
- อัลบัมรูปถ่าย
- บัญชีธนาคารที่เปิดร่วมกัน (Join Bank Account )
- ประกันสุขภาพ (Health Insurance ) และประกันชีวิต (Life Insurance) ที่มีชื่อของทั้งสองฝ่ายร่วมกัน

หมายเหตุ: ไม่จำเป็นต้องมีครบทั้งสามอย่าง แต่ควรมีสองอย่างขึ้นไป

4. เช็ค แบ่งเป็นสองใบด้วยกัน ได้แก่ ใบแรกสั่งจ่าย จำนวน 1,070 เหรียญ สำหรับแบบฟอร์ม I-485 เช็คอีกใบสั่งจ่าย จำนวน 420 เหรียญ สำหรับแบบฟอร์ม I-130 สั่งจ่ายในนาม Department of Homeland Security. จ่ายให้ตรงจำนวน หากขาดหรือเกิน ทางเจ้าหน้าที่จะไม่รับเรื่อง (ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เช็คค่าใช้จ่ายอีกครั้งก่อนยื่นเรื่องที่ www.uscis.gov) และสามารถดูตัวอย่างการเขียนเช็คเพื่อสั่งจ่ายได้ ที่นี่

หลังจากนั้นส่งเอกสารทั้งหมดพร้อมเช็คไปที่
U.S. Citizenship and Immigration Services
PO Box 805887
Chicago, IL 60680-4120


หากมีข้อสงสัยสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.usvisa4thai.com หรือ www.uscis.gov

หมายเหตุ: ระยะเวลาในการยื่นเรื่องของแต่ละคนนั้นจะแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรัฐที่อาศัยอยู่ หากรัฐนั้นมีคนยื่นเรื่องเยอะ คิวยาว ก็จะต้องรอนานหน่อย โดยทั่วไปแล้วจะใช้เวลา 3-7 เดือน