วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2563

เตรียมตัวสอบใบขับขี่ในอเมริกา How to Get Your Driver's License in the USA




หลังจากที่มีกรีนการ์ดแล้ว สิ่งที่หลายๆ คนต้องทำเลยก็คือ การทำใบขับขี่ (Driver's License) เวลาไปไหนมาไหนจะได้สะดวก ไม่ต้องพึ่งสามีอีกต่อไป

นุ้ยเลยแนะนำสาวๆ เลยค่ะ ว่าควรฝึกขับรถให้ได้ที่เมืองไทยเลยค่ะ พอย้ายมาอยู่ที่นี่เราจะได้สบาย ทำใบขับขี่ได้เลย การฝึกขับรถที่นี่จะยุ่งยากหลายขั้นตอนมากๆ ค่ะ ไม่เหมือนเมืองไทย แค่มีรถก็ขอพ่อ พี่ชาย ให้มาฝึกหัดให้หน่อยก็ได้แล้ว แต่ที่นี่จะทำแบบนั้นไม่ได้เลยค่ะ เราต้องไปสอบขอใบอนุญาตก่อน พอผ่านข้อเขียน ก็จะได้ permit license เป็นบัตรที่อนุญาตให้ขับรถได้ โดยมีผู้อื่นนั่งอยู่ด้วย ไม่สามารถขับได้ด้วยตัวเอง เราสามารถเรียนขับรถกับผู้เชี่ยวชาญ ค่าเรียนก็แพงมากค่ะ เรียนไม่กี่ชั่วโมงก็ $200-$800 แล้ว หรือหากไม่อยากเสียค่าเรียน เราก็ให้สามีหรือญาติสามี หรือเพื่อนเราสอนให้ แต่ก็ลำบากคือ ที่นี่ไม่ค่อยมีทีฝึกค่ะ อย่างดีก็มีที่จอดรถที่ไม่มีรถจอด เราสามารถฝึกได้ตอนกลางคืน เพราะไม่เจ้าหน้าที่เฝ้า หรือถนนเล็กๆ หน้าบ้าน จากนั้นก็เป็นถนนใหญ่เลยค่ะ มีหลายเลนมาก และรถเยอะมาก เราต้องระวังมากๆ ที่สำคัญคือ ไม่ขับเกิน speed limit แต่ละถนนจะต่างกัน เช่น ถนนเล็กๆ หรือบริเวณหน้าโรงเรียน จะขับไม่เกิน 25 ไมล์ เขตชุมชน จะขับประมาณ 30 ไมล์ ถนนใหญ่ขึ้นมาหน่อยขับประมาณ 40-55 ไมล์ ทางด่วนควรขับประมาณ 60-75 ไมล์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าอยู่รัฐไหน แต่ละรัฐจะต่างกัน เวลาขับต้องคอยสังเกตป้ายข้างทางว่ากำหนดอยู่ที่เท่าไหร่ ไม่ควรขับช้าหรือเร็วเกินไป ขับช้าก็โดนจับได้นะคะที่อเมริกาเนี่ย คนอเมริกันจะเคร่งครัดเรื่องกฏระเบียบมากๆ  เคารพป้ายจราจร เห็นป้าย STOP ก็ต้องหยุดถึงแม้จะไม่มีรถขับผ่าน พอเห็นคนกำลังเดินข้ามถนนก็ต้องจอดให้คนข้ามไปก่อน และคนที่นี่ก็จะปฏิบัติตามกฏโดยไม่มีข้อแม้ค่ะ ด้านตำรวจก็จะคอยใช้เรด้าร์ตรวจจับคนที่ขับรถเร็วอยู่ทุกที่ โดยเฉพาะถนนใหญ่

สำหรับคนที่ขับรถเป็นจากเมืองไทย พอมาที่อเมริกาจะงงนิดหน่อย เพราะที่นี่ขับพวงมาลัยซ้าย และขับเลนขวา แซงด้านซ้าย ที่เมืองไทยจะขับพวงมาลัยขวา วิ่งรถด้านซ้าย แซงด้านขวา 




พอเรามาถึงที่นี่ ไปสอบข้อเขียนให้ได้ permit license ก่อน แล้วลองฝึกขับดูค่ะ สักสองสามวันก็ชินละคะ  แต่อย่าลืมนะคะว่า permit license เรายังขับเองไม่ได้ ต้องมีคนนั่งข้างๆ เสมอค่ะ คนที่นั่งข้างๆ ก็ใช่ว่าจะเป็นใครก็ได้นะคะ ต้องมีคนที่มีใบอนุญาตขับขี่แล้วนะคะ

เอาละคะที่นี่มาถึงวิธีการสอบใบขับขี่กันบ้างนะคะ ก็คล้ายกับบ้านเราค่ะ มีสอบทั้งข้อเขียนและปฏิบัติ ก่อนสอบเราสามารถไปขอคู่มือ (Driver Handbook) ได้ที่ Department of Motor Vehicle (DMV) ของเมืองที่เราอยู่ ถามสามีก็ได้คะว่าอยู่ที่ไหน ให้เขาพาไป หรือดาวน์โหลดเอาในเว็บไซต์ของ (DMV) ในคู่มือนั้นจะมีข้อมูลครบถ้วนมาก ตั้งแต่วิธีเตรียมตัวสอบ ข้อสอบในแต่ละภาค รวมถึงสอนเรื่องการใช้ถนน การเปลี่ยนเลน การเร่งความเร็ว การขับรถบนทางด่วน การให้สัญญาณ ป้าย สัญญาณต่างๆ กฏจราจร วิธีการขับรถให้ปลอดภัย หรืออ่านจากเว็บไซต์นี้ก็ได้ค่ะ www.driverknowledge.com 

พอเราอ่านเข้าใจแล้วก็ลองทำข้อสอบดูนะคะ เข้าไปที่ http://driving-tests.org ต้องเลือกก่อนว่าเราอยู่รัฐไหน แต่ละรัฐข้อสอบจะไม่เหมือนกันค่ะ จากนั้นก็จะมีข้อสอบให้ทำหลายชุดมาก และทดลองทำได้ฟรีค่ะ ไม่มีค่าใช้จ่าย ลองทำดูนะคะว่าผ่านหรือไม่ หากไม่ผ่าน ก็ทำซ้ำไปเรื่อยๆ จนเรามั่นใจว่าผ่านแน่นอน ค่อยไปสอบค่ะ

การสอบข้อเขียน เป็นข้อสอบกากบาท ไม่ยากมาก บางรัฐ สามารถเลือกสอบเป็นภาษาไทยได้ แต่บางรัฐต้องสอบภาษาอังกฤษ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ กฏจราจร (Road Rules) จำนวน 20 ข้อ ต้องทำให้ถูก 15 ข้อขึ้นไปถึงจะผ่าน อีกส่วนหนึ่งคือ ป้ายต่างๆ บนท้องถนน (Road Signs) จำนวน 20 ต้องทำให้ถูก 15 ข้อขึ้นไปถึงจะผ่าน.

การสอบเราต้องไปที่ DMV ใกล้บ้าน โดยต้องเตรียมเอกสารดังนี้ SSN Card, พาสปอร์ต, กรีนการ์ด, ทะเบียนสมรส, ใบเกิด และเอกสารที่แสดงว่าเราอาศัยอยู่ในรัฐที่เรายื่นเรื่องทำใบขับขี่ เช่น บิลต่างๆ ที่ไม่อายุไม่เกิน 60 วัน ประกันสุขภาพ จดหมายจากธนาคาร หรือ Bank Statment ที่มีอายุไม่เกิน 60 วัน สัญญาการเช่าอพาร์ทเมนต์ หรือคอนโด หรือบ้านในปัจจุบันที่มีชื่อเราและที่อยู่ระบุในสัญญา สัญญาการจ้างงาน หรือจดหมายรับรองการทำงานที่ระบุชื่อและที่อยู่เรา และ W2 ในปีล่าสุด เป็นต้น

เมื่อยื่นเอกสารและเจ้าหน้าที่ตรวจสอบความเรียบร้อยแล้ว ก็จะถ่ายรูป สามารถยิ้มเห็นฟันได้เลยค่ะ และจ่ายค่าธรรมเนียม $10 จากนั้นเจ้าหน้าที่จะให้เราทำข้อสอบในเครื่องคอมพิวเตอร์ พอทำเสร็จ หากเราผ่านก็จะได้รับบัตรที่เรียกว่า permit license อนุญาตให้เราขับรถได้ โดยมีผู้อื่นนั่งอยู่ด้วย ไม่สามารถขับได้ด้วยตัวเอง เราก็ไปฝึกขับรถบนถนนให้คล่องก่อน ฝึกทุกวันทั้งถนนเล็กและใหญ่ รวมไปถึงทางด่วน และฝึกการจอดรถแบบชิดขอบถนน หรือที่เรียกว่า “Parallel parking” และการจอดรถ การถอยหลังเขาซอง เมื่อมั่นใจแล้วค่อยไปสอบปฏิบัติค่ะ

การสอบปฏิบัติ บางรัฐต้องโทรนัดหมายก่อนจะสอบ เตรียมเอกสารเหมือนเดิมกับตอนที่สอบข้อเขียน เพิ่มเติมนิดหน่อย คือ เอกสารที่เราทำประกันภัยรถยนต์ และเอกสารการเสียภาษี การสอบภาคนี้จะมีการทดสอบสายตา และพิมพ์ลายนิ้วมือด้วย ค่าธรรมเนียมจะอยู่ที่ $20

ส่วนวิธีการสอบจะแตกต่างจากเมืองไทย คือ เราต้องนำรถของเราที่มีประกันภัยรถยนต์ที่ถูกต้อง เสียภาษีรถยนต์เรียบร้อยแล้ว และมีชื่อเราในประกันภัยนั้นมาเอง โดยรถที่นำมานั้น อุปกรณ์ต่างๆ ในรถต้องสามารถใช้งานได้จริง เช่น ไฟเลี้ยว แตรรถ เบรค เป็นต้น โดยก่อนสอบเจ้าหน้าที่ก็จะบอกให้เราเปิดไฟเลี้ยวซ้าย ขวา บีบแตร แตะเบรค เพื่อเช็คสภาพรถก่อนขับจริง การสอบปฏิบัติที่นี่จะสอบบนถนนจริงค่ะ ตื่นเต้นมากๆ  เท่านั้นยังไม่พอค่ะ มีเจ้าหน้าที่มานั่งข้างๆ เราอีกด้วย คอยดูว่าเราขับรถถูกหลักหรือไม่ นั่งใกล้พวงมาลัยมากไปหรือไม่ คาดเข็มขัดนิรภัย และปรับกระจกก่อนสตาร์จรถหรือไม่ เวลาจะเปลี่ยนเลน หรือเลี้ยวมองกระจกหลังและกระจกข้างหรือไม่ เวลาถอยรถหันหลังไปมองหรือไม่ ที่อเมริกาจะไม่อนุญาตให้มองแค่กระจกอย่างเดียว จากนั้นเจ้าหน้าที่จะเป็นคนบอกให้เราว่าขับไปทางไหน เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา การทดสอบนั้นมีหลายอย่าง ได้แก่ การจอดรถขนานแนบชิดกับขอบถนน การถอยหลังเข้าซอง การจอดรถในระยะกระชันชิด การจอดรถเมื่อเจอป้ายสัญญาณ และติดไฟแดง การแซง การเปลี่ยนเลน เป็นต้น

การทดสอบปฏิบัติใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที แล้วแต่ว่าสอบรัฐไหน และได้สอบกับเจ้าหน้าที่คนไหน เมื่อทดสอบเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะบอกว่าเราขับรถเป็นยังไงบ้าง บอกคะแนน และบอกว่าผ่านไม่ผ่าน หรือต้องแก้ไขตรงไหน อย่างไร หากไม่ผ่านสามารถกลับมาสอบใหม่ได้อีกครั้ง

พอเราผ่านแล้ว เจ้าหน้าที่จะให้ใบขับขี่ที่เป็นกระดาษมาก่อนค่ะ เป็นใบขับขี่ที่ใช้ได้จริงค่ะ หลังจากนั้นประมาณ 1-3 อาทิตย์ เจ้าหน้าที่ก็จะส่งใบขับขี่ตัวจริงมาให้ที่บ้านค่ะ วันหมดอายุในใบขับขี่จะเป็นวันเดียวกับที่ระบุในใบกรีนการ์ด (Green Card) แบบสองปีของเราค่ะ

หลังจากที่ขับรถเป็นแล้ว มีใบขับขี่แล้ว อย่าลืมให้สามีสอนเรื่องวิธีการเติมน้ำมันรถด้วยนะคะ เพราะที่นี่เราต้องเติมน้ำมันรถเองค่ะ ไม่มีเด็กปั๊ม ถ้าลืมให้สามีสอน แล้วเกิดน้ำมันหมดมาตอนเราอยู่คนเดียว แย่เลยนะคะ