วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ตัวอย่างจดหมายการรับรองค่าใช้จ่าย (SPONSORSHIP LETTER)


The American Embassy Bangkok
95 Wireless Road,
Bangkok 10330, Thailand




SPONSORSHIP LETTER

I Mr/Mrs………(ชื่อคนที่ออกค่าใช้จ่ายให้เรา)................, do hereby declare that Mr/Ms…………(ชื่อเรา)….................................., born on ……………........... is my…(ใส่ความเกี่ยวข้องว่าเป็นอะไรกัน เช่น ลูก หลาน)…………........... and promise to provide all the necessary financial support needed by him/her to cover his/her expenses for his/her .........ใส่จุดประสงค์ในการเดินทาง เช่น Study/Disney Summer Work Experience 2009 programs in ......... ใส่วันที่ เช่น March – May 2009.

I also declare that in cases of emergency I will compensate for all the losses on his/her behalf that may occur in any unexpected event. I also declare that my son/daughter will not become a liability to the state of the country he/she is going to for her higher education.

Yours sincerely,

Name:…………………………..............................
Address:………………………..............................
…………….……………………............................

Phone number :…………………….......................




Date/Place                                                   Signature

…………………………….                        ………………………………..                         






                       

วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ไขข้อข้องใจวีซ่าอเมริกา (US Visa)

ในการยื่นเรื่องทำวีซ่าอเมริกา บางครั้งหลายคนอาจมีข้อสงสัย ข้อข้องใจที่ไม่รู้จะไปถามใคร หรือหาคำตอบที่ไหน บทความนี้ได้รวบรวมคำถามและคำตอบจากเว็บไซต์ บล็อก และกระทู้ต่างๆ ไว้ให้คลายความสงสัยกัน

Q: จะไปอเมริกา แต่ไม่รู้จะขอวีซ่าประเภทไหนดี
A: อันนี้ต้องดูวัตถุประสงค์ของตนเองก่อนนะคะว่าไปเพราะอะไร จากนั้นก็เช็คคะว่าวัตถุประสงค์ ความตั้งใจของตนเองนั้นเข้าข่ายวีซ่าประเภทไหน ได้แก่
- ไปท่องเที่ยว เยี่ยมญาติ เยี่ยมแฟน B2
- เป็นตัวแทนบริษัทไปดูงาน ไปอบรมสัมนา B1
- ไปแลกเปลี่ยน เข้าร่วมโครงการ Au pair, Work and Travel, Disney Summer Work Experience J1
- ไปเรียนภาษา เรียนต่อด้วยทุนตนเอง F1

Q: อยู่เชียงใหม่ แล้วมาทำงานกรุงเทพ กลับไปขอวีซ่าที่เชียงใหม่ได้ไหม
A: ไม่ได้คะ ต้องขอที่กรุงเทพเท่านั้น เพราะมีใบรับรองงานการทำงานอยู่ที่กรุงเทพ ถือว่าอาศัย ใช้ชีวิตที่กรุงเทพ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเชียงใหม่ คนที่สามารถขอที่เชียงใหม่ได้ คือ คนที่เรียน ทำงาน หรืออาศัย ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงมีทะเบียนบ้านที่เชียงใหม่ แต่หมายถึงใช้ชีวิต กินอยู่ หลับนอน มีตัวตนอยู่ที่เชียงใหม่ หรือจังหวัดดังต่อไปนี้ ลำพูน, พะเยา, สุโขทัย, เชียงราย, แม่ฮ่องสอน, พิจิตร, ตาก, กำแพงเพชร, น่าน, พิษณุโลก, อุตรดิตถ์, ลำปาง, เพชรบูรณ์, แพร่ (อันนี้เป็นประสบการณ์ตรง เจอมากับตัวเองคะ ใครอยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติม ส่งข้อความคุยกันได้เลยคะ)

Q: ต้องมีเงินในบัญชีธนาคารเยอะขนาดไหนวีซ่าถึงจะผ่าน
A: วีซ่าผ่านไม่ผ่าน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินในบัญชีธนาคารเป็นสำคัญ แต่บัญชีธนาคารที่สามารถนำมาประกอบการยื่นขอวีซ่าได้นั้น ควรเป็นบัญชีธนาคารที่มีเงินเพียงพอกับค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว หรือเล่าเรียนที่อเมริกา อันนี้แล้วแต่ประเภทของวีซ่า และต้องเป็นบัญชีที่มีเงินหมุนเวียนตลอดเวลา หากเป็นคนที่มีงาน ก็ควรใช้บัญชีที่มีเงินเดือนเข้าออกทุกเดือน มีเงินเก็บพอสมควร หากเป็นนักเรียน นักศึกษาสามารถใช้บัญชีของผู้ปกครองได้ เพราะถือว่ายังเป็นนักเรียน นักศึกษา ไม่มีรายได้เป็นของตัวเอง

Q: หากไม่มีเงินในบัญชีธนาคารให้คนอื่นรับรองได้หรือไม่
A: ได้ แต่วีซ่าท่องเที่ยว เจ้าหน้าที่จะดูเอกสารของผู้ยื่นเป็นหลัก เพราะถือว่าหากจะเดินทางท่องเที่ยว ต้องมีการวางแผนล่วงหน้า มีความสามารถในการดูแลช่วยเหลือตัวเอง และมีเงินเก็บพอสมควร หากให้ผู้อื่นออกค่าใช้จ่ายให้ แสดงถึงหลักฐานการทำงานที่ไม่มั่นคง มีผลถึงหลักฐานที่แสดงว่าจะกลับเมืองไทย หากการงานไม่มั่นคง ไม่มีเงินเก็บ อาจละทิ้งงานที่เมืองไทย ไปทำงานที่อเมริกาได้ จะทำให้ผู้ยื่นไม่มีความน่าเชื่อถือได้ แต่หากเป็นนักเรียน ยังไม่มีรายได้ สามารถใช้บัญชีธนาคารของผู้ปกครองได้ ส่วนวีซ่านักเรียน แลกเปลี่ยน เข้าร่วมโครงการ คู่หมั้น แต่งงาน เจ้าหน้าที่ดูบัญชีธนาคารและหลักฐานอื่นๆ ของสปอนเซอร์ประกอบด้วย

Q: หากให้คนอื่นรับรอง หรือเป็นสปอนเซอร์ให้ต้องเตรียมหลักฐานอะไรบ้าง
A: คนที่เป็นสปอนเซอร์ต้องขอ Bank Statement และ Bank Guarantee จากธนาคาร พร้อมแนบบัตรประจำตัวประชาชน หนังสือรับรองการทำงานที่ระบุตำแหน่งงาน ระยะเวลาที่ทำงาน เงินเดือน โบนัส และเขียนจดหมายรับรองว่าเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ โดยออกค่าใช้จ่ายเพื่ออะไร เป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ และระยะเวลานานแค่ไหน ดูตัวอย่างการเขียนจดหมายได้ ที่นี่

Q: คนที่จะสามารถเป็นสปอนเซอร์ได้ ต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง
A: คนที่จะสามารถเป็นคนรับรอง เป็นสปอนเซอร์ได้นั้น ไม่ใช่ว่าจะเป็นใครก็ได้ ต้องมีเป็นคนที่มีความสนิท ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับเรา เช่น วีซ่านักเรียน คนที่จะเป็นสปอนเซอร์ได้ อันดับแรกควรเป็นพ่อ แม่ หากพ่อ แม่มีปัญหาด้านการเงิน ไม่มีเงินเก็บเพียงพอในธนาคาร ก็สามารถขอให้ญาติผู้ใหญ่ เช่น คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย คุณน้า คุณอา ช่วยเป็นสปอนเซอร์ให้ได้ โดยต้องมีคุณสมบัติ คือ เป็นบุคคลที่น่าเชื่อ มีหน้าที่การงานมั่นคง มีเงินเก็บพอสมควร มีบัญชีธนาคารที่มีเงินเข้าออก หมุนเวียนเป็นประจำ ส่วนวีซ่าคู่หมั้น และแต่งงานนั้น คนที่จะเป็นสปอนเซอร์ได้ คือ คู่หมั้น และคู่สมรส ที่คบหาดูใจกันมาเป็นเวลานาน เคยเจอกันมาก่อนในรอบ 2 ปี  เป็นพลเมืองอเมริกัน มีหน้าที่การงานมั่นคง มีเงินเก็บ มีรายได้หลังจากหักภาษีตามเกณฑ์ที่รัฐกำหนด และทำเรื่องเสียภาษีกับรัฐทุกปี



Q: วีซ่าท่องเที่ยวจำเป็นต้องมีแผนการเดินทางหรือไม่
A: ไม่จำเป็น แต่มีไว้ก็ดีคะ เหลือดีกว่าขาด เผื่อเจ้าหน้าที่เขาถามหา อยากดู เราก็มีให้ดูเลย อีกอย่างเป็นเอกสารที่แสดงให้เห็นว่าเราอยากเที่ยวจริงๆ มีการวางแผนล่วงหน้า มีแผนการกิจกรรมที่จะทำ แสดงให้เห็นความตั้งใจของเราว่าเราอยากไปเที่ยวจริงๆ

Q: ทำวีซ่าท่องเทียวไปหาแฟน ควรบอกความจริงไหมว่าไปหาแฟน กลัวบอกความจริงไปแล้วไม่ผ่าน
A: บอกความจริงไปเถอะคะ แสดงความจริงใจว่าเราไม่มีอะไรจริงๆ แค่อยากไปเที่ยว ปิดบังซ่อนเร้น เดี๋ยวเจ้าหน้าที่เขาก็จะยิ่งซักเยอะ ถามแยะ เขาก็จะสงสัยว่าเรามีอะไรในใจหรือเปล่า ไม่บริสุทธิ์ใจ มีโอกาสทำให้วีซ่าไม่ผ่าน เจ้าหน้าที่เขาทำงานมานาน สัมภาษณ์คนมาเยอะ เขาพิจารณาจากเอกสารที่ยื่น คำพูดจากการสัมภาษณ์ ท่าท่างต่างๆ เขาก็ดูออกคะ มีแฟนที่โน่น ไม่ใช่ว่าวีซ่าจะไม่ผ่านเสมอไป หลายคนบอกความจริงว่ามีแฟน วีซ่าผ่านแบบไม่ยากเย็นเลยคะ

Q: ถ้าได้จดหมายเชิญจากอเมริกา มีโอกาสทำให้วีซ่าท่องเที่ยวผ่านมากขึ้นหรือไม่
A: ไม่ค่อยมีผลอะไร วีซ่าท่องเที่ยวขึ้นอยู่กับเอกสาร หลักฐานของผู้ยื่นเป็นสำคัญ หนังสือเชิญมีหรือไม่มีก็ได้ บางคนไม่มีก็ผ่าน บางคนมีแต่วีซ่าไม่ผ่านก็มีเยอะแยะ ดังนั้นหากตัวเองไม่มีหนังสือเชิญ ไม่มีคนรู้จักที่อเมริกาทำเรื่องหนังสือเชิญให้ ก็ไม่ต้องเป็นกังวลคะ

Q: การแสดงภาระหนี้สินที่ไทย มีโอกาสช่วยให้วีซ่าผ่านมากขึ้นหรือไม่ 
A: พวกสัญญาเงินกู้ หนี้ต่างๆ ไม่จำเป็นต้องแสดงเลยคะ เพราะทำให้เจ้าหน้าที่วิเคราะห์ได้ว่า การงาน การเงินเราไม่มั่นคง และคิดได้ว่า หากมีหนึ่้สิน ทำไมไม่เอาเงินไปใช้หนี้ หรือต้องการไปทำงานเมืองนอก เพื่อหาเงินมาใช้หนี้ หรือ ต้องการหนีหนี้ที่มีอยู่ที่เมืองไทย ประมาณนี้คะ แต่หากกำลังผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนคอนโด โชว์เอกสารเหล่านี้ได้คะ เพราะแสดงว่าฐานะมั่นคงพอ มีเงินเหลือพอที่จะผ่อนทรัพย์สินเหล่านั้นได้ หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าโชว์ว่ามีหนี้สินที่เมืองไทย โชว์สัญญาเงินกู้สหกรณ์ หรือเงินกู้ธนาคารต่างๆ  แสดงถึงภาระผูกพัน อันนี้ไม่ใช่เลยคะ ภาระผู้พัน แสดงโดย หน้าที่การงานที่มั่นคง ทำมาหลายปี เงินดี สวัสดิการดี มีเงินเก็บพอสมควร แสดงถึงฐานะทางการงาน และการเงินที่มั่นคง มีเงินเหลือ พอที่จะท่องเที่ยวได้ ไม่ไปสร้างความเดือนร้อน หรือหนีไปทำงานเป็นแน่คะ หากมีเอกสารพวกหนี้สินเข้ามา จะแสดงให้เห็นว่า เงินเดือน เรายังไม่พอ การงาน การเงินยังไม่มั่นคงพอคะ 

Q: ขอวีซ่าแล้วไม่ผ่าน หากอยากทำเรื่องขอวีซ่าใหม่ ต้องรอนานแค่ไหน
A: หากเตรียมเอกสาร หลักฐานพร้อม และแน่นหนามากขึ้นก็ทำเรื่องขอใหม่ได้เลย ในการสมัครวีซ่าใหม่ นั้น ก็ยังคงต้องปฏิบัติตามกระบวนการทั้งหมด กรอกแบบฟอร์มการสมัครใหม่ ชำระค่าธรรมเนียมการสมัครวีซ่า อีกครั้ง หากการขอวีซ่าใหม่โดยที่ยังขาดหลักฐานที่หนักแน่นและมีนัยสำคัญที่สามารถแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ของผู้ขอวีซ่า อาจไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลการพิจารณาอนุมัติวีซ่าได้

Q: อยากได้วีซ่าท่องเที่ยวสิบปีต้องทำอย่างไรบ้าง
A: ข้อนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่เป็นสำคัญ ไม่มีกฏระเบียบ ข้อปฏิบัติตายตัวว่าต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้ ต้องมีเงินในบัญชีมากน้อยเท่าไหร่ หรือไปเที่ยวมาแล้วกี่ครั้ง บางคนมีเงินในธนาคารเยอะมาก วีซ่าไม่ผ่านก็มี บางคนเคยไปเที่ยวมาแล้วหลายครั้ง หลายที่ ได้วีซ่าท่องเที่ยวแค่ 3 เดือนก็มี บางคนขอครั้งแรกได้วีซ่าท่องเที่ยวสิบปีเลย ดังนั้นไม่ต้องหาวิธีการให้ยุ่งยากคิดมากเพื่อให้ได้มาสิบปี เอาแค่ให้ผ่านก่อนก็พอ

Q: หากไม่ได้ทำงานประจำ จะหาจดหมายรับรองงานจากไหนได้บ้าง
A: หากเป็นเจ้าของกิจการ มีธุรกิจเป็นของตัวเอง สามารถแสดงใบผู้ประกอบการ ใบจดทะเบียนการค้า หรือยื่นเอกสารที่แสดงความเป็นเจ้าของกิจการ หากทำงานทำไร่ ทำนา ทำสวน สามารถแสดงโฉนดที่ดินที่ตนเองเป็นเจ้าของไร่ นา หรือสวนนั้น พร้อมแสดงผลประกอบการรายปี และรูปถ่ายในการทำงาน หากทำงานตามสัญญาจ้าง ก็สามารถแสดงสัญญาจ้างงานได้

Q: ไปเที่ยวพร้อมกัน จำเป็นต้องสัมภาษณ์พร้อมกันหรือไม่
A: บางคนคิดว่าไปเที่ยวพร้อมกัน ต้องสัมภาษณ์วีซ่าที่เดียวกัน และเวลาเดียวกันเท่านั้น บอกเลยว่าไม่จำเป็น สัมภาษณ์คนละที่ คนละเวลาก็ได้ บางคนขอที่กรุงเทพ เพื่อนที่จะเที่ยวด้วยกันขอที่เชียงใหม่ คนละวัน วีซ่าก็ผ่าน ไปเที่ยวพร้อมกันได้

Q: หากจำเป็นต้องขอวันนัดสัมภาษณ์แบบเร่งด่วนเดินทางไปอเมริกาแบบเร่งด่วน ต้องทำอย่างไร 
A: หากมีความจำเป็นต้องขอวันนัดสัมภาษณ์วีซ่าแบบเร่งด่วน สามารถส่งอีเมล์เป็นภาษาอังกฤษไปที่ visasbkk@state.gov โดยใช้หัวเรื่องว่า “Request to Expedite a Non-Immigrant Visa Appointment
โดยอีเมล์ต้องมีรายละเอียดต่อไปนี้
  • ชื่อและนามสกุลผู้สมัครวีซ่า
  • หมายเลขยืนยันการนัดสัมภาษณ์ และวันนัดสัมภาษณ์ที่ท่านได้จองไว้ หรือหมายเลขใช้เฉพาะบุคคล (PIN) ของผู้สมัคร
  • เหตุผลที่ท่านต้องการวันนัดสัมภาษณ์วีซ่าที่เร็วขึ้น
  • ข้อมูลเฉพาะ ขึ้นอยู่กับชนิดของวีซ่าที่จะสมัคร 
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ thai.bangkok.usembassy.gov

Q: สถานทูตจะอนุมัติวีซ่าให้สูงสุด ระยะเวลาเท่าไหร่ 
A: แต่ละประเภท อนุมัติระยะเวลาแตกต่างกันออกไป ได้แก่ (ข้อมูลจาก www.educatepark.com)
ประเภทวีซ่า            เข้า – ออก                ระยะเวลาสูงสุด
B-1/ B-2                  Multiple              120 เดือน หรือ 10 ปี
F-1/ F-2                   Multiple                60 เดือน หรือ 5 ปี
J-1/ J-2                    Multiple                60 เดือน หรือ 5 ปี

ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า เราสามารถอยู่อเมริกาได้ตามระยะเวลาที่วีซ่าอนุมัติ แต่หมายถึงว่า ในระยะเวลาดังกล่าว เราไม่ต้องไปทำเรื่องขอวีซ่าอีก การที่จะเราสามารถอยู่อเมริกาได้นานแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ที่สนามบินในอเมริกา โดยจะประทับวันที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในประเทศอเมริกาไว้ในหนังสือเดินทาง (Passport)

Q: หาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องการทำวีซ่าได้จากที่ไหนบ้าง
A: มีหลายเว็บไซต์ที่ให้คำแนะนำดีๆ เกี่ยวกับวีซ่าอเมริกาทุกประเภท ได้แก่
1. thai.bangkok.usembassy.gov เว็บไซต์ของสถานทูต ให้คำแนะนำในการทำวีซ่าอย่างละเอียด
2. govisa.wordpress.com ให้ความรู้ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับขั้นตอนการทำวีซ่าอเมริกา คำแนะนำเมื่อถูกปฏิเสธวีซ่า ไม่ได้มีแค่คำแนะนำเรื่องวีซ่าอย่างเดียว แต่ยังมีบทความดีๆ เกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่อเมริกา ทุนการศึกษา การเดินทางและการท่องเที่ยวต่างประเทศ
3. www.ladyinter.com หากมีข้อสงสัย ข้องใจเกี่ยวกับอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวีซ่า การแต่งงาน การจดทะเบียน การขอกรีนการฺ์ด การใช้ชีวิต อาหารการกิน วัฒนธรรม การวางตัว และการทำงาน เข้าไปที่เว็บไซต์นี้ได้ มีผู้รู้มาช่วยตอบคำถาม ให้คำแนะนำดีๆ ให้ความช่วยเหลืออยู่เพียบ
4. www.usvisa4thai.com เว็บไซต์นี้ก็เช่นกัน มีข้อมูลวีซ่าอเมริกาครบทุกประเภท การทำกรีนการ์ด การเตรียมตัวท่องเที่ยวอเมริกา รวมถึงความรู้ด้านกฏหมายที่คนไทยควรรู้เมื่อเข้ามาอยู่ที่อเมริกา พร้อมผู้มีประสบการณ์ที่นำเสนอเรื่องราวดีๆ และคอยตอบคำถาม
5. www.pantip.com/cafe/klaibann/ ห้องไกลบ้าน มีผู้รู้เกือบทั่วสารทิศมาช่วยตอบคำถาม ไม่ใช่แค่เรื่องวีซ่า แต่สามารถถามได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมตัวเดินทาง ซื้อตั๋วเครื่องบิน จัดกระเป๋า วางแผนท่องเที่ยว การแลกเงิน การซื้อของ และการใช้ชีวิต เป็นต้น
6. readygoalamerica.blogspot.com เว็บไซต์นี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อนไปอเมริกา มีทั้งเรื่องราวการทำวีซ่า การหางานในอเมริกา อาหารการกิน เรื่องสะเพเหระต่างๆ เช่น วันหยุด วันสำคัญในอเมริกา การซื้อรถ การทำบัตรขับขี่ การทำบัตรห้องสมุด การเปิดบัญชีธนาคาร การโอนเงิน การคำนวณค่าใช้จ่ายในอเมริกา เป็นต้น

หากใครยังสงสัยอยู่ อยากได้ความกระจ่างชัดในเรื่องที่ไม่ได้เขียนไว้ข้างต้น ก็ฝากข้อความไว้ด้านล่างเลยจ้า

วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ยื่นเรื่องกรีนการ์ด (Green Card) ง่ายๆ ทำได้ด้วยตนเอง

หลังจากที่ห่างหายจากการเขียนบล็อกไปซะนาน ได้แต่ตอบคำถามในบล็อกอย่างเดียว หลังจากจัดการธุระต่างๆ เรียบร้อย ก็ได้โอกาสกลับมาเขียนอีกครั้ง

บทความนี้เขียนสำหรับคนไทยที่มีโอกาสไปเรียนต่อ ทำงาน เข้าร่วมโครงการ หรือแลกเปลี่ยนที่อเมริกา แล้วเกิดตกลงปลงใจแต่งงานกับชาวอเมริกัน และตัดสินใจจะใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกา ซึ่งหลังจากแต่งงานแล้วก็จะต้องมีการทำกรีนการ์ด (Green Card) หรือบัตรเขียว

หลายคนอาจสงสัยว่าทำได้ด้วยตนเองเลยเหรอ ใช่คะ ทำได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องจ้างทนายให้เปลืองเงิน โดยบทความนี้จะแนะนำวิธีการเตรียมตัวทำกรีนการ์ด ตั้งแต่การกรอกเอกสาร หลักฐาน ไปจนถึงการสัมภาษณ์

ก่อนอื่นนั้นเรามาทำความรู้จักกับเจ้ากรีนการ์ดกันก่อนเลยว่ามันคืออะไร มีกี่ประเภท

กรีนการ์ด (Green Card) เป็น
บัตรประจำตัวที่รัฐบาลอเมริกันออกให้สำหรับบุคลลที่ได้รับการอนุญาตให้เข้ามาอยู่อาศัยรวมทั้งทำงานอย่างถาวรในสหรัฐอเมริกา
 

แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ กรีนการ์ดแบบมีเงื่อนไข (Conditional Green Card) มีอายุ 2 ปี คนที่จะได้รับกรีนการ์ดประเภทนี้ ได้แก่ คนที่ขอกรีนการ์ดโดยการแต่งงานกับพลเมืองสหรัฐฯ รวมทั้งผู้ที่ได้รับสิทธิมีถิ่นที่อยู่จากการลงทุนเพื่อการสร้างงานในสหรัฐฯ อีกประเภทหนึ่งคือ กรีนการ์ดแบบถาวรที่ต้องต่ออายุทุกๆ 10 ปี โดยผู้ถือกรีนการ์ดทั้งสองแบบนั้นต่างมีสิทธิหน้าที่และความรับผิดชอบเท่า ๆ กัน ความแตกต่างระหว่างกรีนการ์ดทั้งสองแบบมีเพียงเล็กน้อย คือ กรีนการ์ดแบบมีเงื่อนไข จะหมดอายุภายใน 2 ปี จำเป็นต้องยื่นเรื่องเพื่อถอดถอนเงื่อนไขนั้นออกไป ถึงจะได้กรีนการ์ดถาวรแบบ 10 ปี 




สิทธิ

1. มีสิทธิอยู่อาศัยในสหรัฐฯ เป็นการถาวร โดยไม่กระทำการใดๆ เป็นผลให้สิทธิถูกถอดถอนไป
2. มีสิทธิทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
3. ได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายจากทางการสหรัฐฯ ทั้งกฎหมายระดับชาติ ระดับรัฐ และระดับท้องถิ่น
4. สามารถลงคะแนนเลือกตั้งในการเลือกตั้งประจำท้องถิ่น เฉพาะการเลือกตั้งที่ไม่จำกัดไว้สำหรับพลเมืองสหรัฐฯ

ข้อยกเว้น

- ไม่สามารถทำงานบางอย่างที่สามารถส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ ซึ่งจะจำกัดไว้ให้เพียงพลเมืองสหรัฐฯ เท่านั้น 
- ไม่สามารถลงคะแนนเลือกตั้ง สำหรับการเลือกตั้งที่จำกัดสิทธิไว้ให้เพียงพลเมืองสหรัฐฯ เท่านั้น

หน้าที่ความรับผิดชอบ

1. ต้องปฏิบัติตนภายใต้กรอบของกฎหมายสหรัฐฯ ทั้งกฎหมายระดับชาติ ระดับรัฐ และระดับท้องถิ่น 
2. มีหน้าที่ที่จะต้องยื่นใบคืนภาษีรายได้ (Income Tax Returns) และรายงานรายได้ต่อสรรพกรประจำรัฐและประจำประเทศ (US Internal Revenue Service and State IRS) 
3. จะต้องสนับสนุนหลักการประชาธิปไตย และไม่กระทำการใด ๆ เพื่อล้มล้างรัฐบาลด้วยวิธีการที่ผิดกฎหมาย 
4. หากเป็นเพศชาย อายุ 18-25 ปี จะต้องเข้ารายงานตัวเพื่อรับราชการทหาร

การที่จะได้มาซึ่งกรีนการ์ดนั้นมีด้วยกันหลายวิธี ได้แก่ 


1. การขอตั้งถิ่นฐานโดยผ่านทางสายสัมพันธ์ทางครอบครัว (Immigration through a Family Member) เรียงตามลำดับความสำคัญได้ตามนี้
- สามีภรรยา
- ผู้เยาว์ซึ่งยังไม่ได้สมรสอายุต่ำกว่า 21 ปี เช่น ลูก หลาน พี่ น้อง ลูกติดสามี ภรรยา
- บุตรที่ยังไม่ได้สมรสอายุเกิน 21 ปี
- บุตรที่สมรสแล้วไม่จำกัดอายุ
- พ่อ แม่ และพี่หรือน้องในกรณีที่สปอนเซอร์อายุตั้งแต่ 21 ปี

2. การขอตั้งถิ่นฐานโดยผ่านทางการจ้างงาน (Immigration through Employment) 

3. การขอตั้งถิ่นฐานโดยผ่านการลงทุน (Immigration through Investment) 

4. การขอตั้งถิ่นฐานโดยผ่านทางโครงการเสี่ยงโชคกรีนการ์ด (Immigration through the Diversity Lottery) โดยใช้วิธีสุ่มจับหมายเลขผู้สมัครกรีนการ์ดลอตโตรี่จากทั่วโลก ผู้ที่ได้รับกรีนการ์ดประเภทนี้ยังสามารถพาคู่สมรส และบุตรที่ยังไม่ได้สมรสอายุต่ำกว่า 21 ปี มาอยู่ด้วยได้


หลังจากที่รู้จักกรีนการ์ดมาพอสมควรแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนดำเนินการ

1. เริ่มจากการแต่งงาน จดทะเบียนสมรส และขอใบทะเบียนสมรส (Marriage Certificate) แต่ละรัฐจะใช้เวลาในการขอใบทะเบียนสมรสแตกต่างกันออกไป อย่างน้อยประมาณ 1 อาทิตย์หลังจากที่ทำเรื่องจดทะเบียนสมรสแล้ว

2. ไปหาหมอเพื่อขอใบรับรองด้านสุขภาพ (Report of medical examination and vaccination record) ขั้นตอนนี้จะมีการตรวจร่างกาย ตรวจเลือด เอ๊กซเรย์ปอด ทำ TB Skin Test และฉีดวัคซีน โดยสามารถเช็ครายชื่อคลินิค หรือโรงพยาบาลที่สามารถทำใบรับรองสุขภาพได้ ที่นี่ ค่าใช้จ่ายประมาณ 200-400 USD ใช้เวลาประมาณ 2-5 วัน แพทย์จะกรอกรายงานสุขภาพลงในแบบฟอร์ม I-693 จากนั้นจะเอาแบบฟอร์มให้เรา 2 ชุด ตัวจริง 1 ชุดใส่ซอง ปิดผนึก ห้ามเปิด เราใช้ตัวนี้ในการยื่นเรื่องกรีนการ์ด ส่วนอีกอันเป็นสำเนาให้เราเปิดดูรายละเอียดได้

3. กรอกแบบฟอร์ม สามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มทั้งหมดได้ที่ www.uscis.gov

4. เตรียมเอกสารหลักฐานของทั้งสองฝ่าย

5. ส่งเอกสารทั้งหมดพร้อมเช็คทางไปรษณีย์

6. สามารถเช็คสถานะการดำเนินเรื่องทางเว็บไซต์ www.uscis.gov หรือใช้บริการการส่งความเคลื่อนไหวผ่านข้อความทางมือถือได้

7. หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือนจะได้รับจดหมายให้ไปพิมพ์ลายนิ้วมือและถ่ายรูป เป็นรูปใช้ติดในกรีนการด์ ดังนั้นควรแต่งหน้าและทำผมให้ดูดี เป็นพิเศษ

8. หลังจากวันที่พิมพ์ลายนิ้วมือผ่านไปประมาณ 1-3 เดือน ก็จะได้รับจดหมายให้ไปสัมภาษณ์ ขั้นตอนนี้ต้องเตรียมตัวให้พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ เตรียมตอบคำถามให้ดี เตรียมหลักฐานให้แน่นหนา จะผ่านไม่ผ่านก็ขึ้นอยู่กับขั้นตอนนี้เป็นสำคัญ โดยมีข้อควรปฏิบัติดังนี้
- ทำใจให้สบาย ไม่ต้องวิตกกังวลเกินไป
- ตรวจสอบสถานที่สัมภาษณ์ว่าตั้งอยู่ที่ไหน สามารถเดินทางได้อย่างไร และใช้เวลาในการเดินทางเท่าไหร่ หากจะให้ดีก่อนวันสัมภาษณ์ควรซ้อมเดินทางจากบ้านไปที่สถานที่สัมภาษณ์ ทั้งนี้เพื่อจะได้แน่ใจว่าสถานที่ตั้งอยู่ตรงไหน และเราสามารถเดินทางไปถูก ไม่หลงทาง
- แต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย ดูน่าเชื่อถือ
- มาถึงก่อนนัดหมายประมาณ 15-30 นาที
- เตรียมเอกสารหลักฐานให้ครบทั้งตัวจริง และสำเนา และจัดเรียงให้เป็นหมวดหมู่
- อย่าลืมรูปถ่ายของทั้งสองฝ่ายที่เคยเที่ยวด้วยกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน แต่งงาน และฮันนีมูน หรือรูปถ่ายครอบครัวที่บอกเล่าเรื่องราว แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย ควรจัดรูปใส่อัลบั้ม (เรียงจากอดีตจนถึงปัจจุบัน) พร้อมบรรยายใต้ภาพด้วยข้อความสั้นๆ เป็นภาษาอังกฤษ
- ตอบคำถามให้ชัดเจน ตรงประเด็น โปร่งใส จริงใจ สามารถดูตัวอย่างคำถามสัมภาษณ์ได้ ที่นี่
- หากไม่เข้าใจคำถาม ขอให้เจ้าหน้าที่ถามอีกรอบ หรืออธิบายคำถาม อย่าตอบแบบส่งๆ หรือขอไปที
- ในวันที่สัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ก็จะบอกผลเลยว่าผ่านหรือไม่ หากไม่ผ่านควรถามเหตุผลที่ทำให้เรื่องไม่ผ่าน และวิธีปฏิบัติต่อไป

9. หากเรื่่องผ่าน ภายใน 1-3 สัปดาห์ ก็จะได้รับกรีนการ์ด



หลักฐานเอกสารที่ต้องเตรียม

เอกสารที่ต้องเตรียมแบ่งออกเป็น 4 ส่วนใหญ่ด้วยกัน ได้แก่ เอกสารของเรา, เอกสารของคู่สมรส เอกสารที่ต้องยื่นร่วมกัน และเช็ค

1. เอกสารของเรา
- สำเนาพาสปอร์ตหน้าแรก และหน้าที่มีวีซ่าอเมริกา
- สำเนา I-94 แบบฟอร์มเข้าประเทศอเมริกา เอกสารนี้พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจะเอามาให้เรากรอก จากนั้นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจะประทับตราวันที่เราเข้าประเทศ และวันที่เราต้องเดินทางออกจากประเทศอเมริกา
- รูปถ่าย ขนาด Passport Size พื้นหลังสีขาว หน้าตรง ไม่สวมหมวก ไม่สวมแว่น จำนวน 2 รูป เขียนชื่อ นามสกุล ติดหลังรูปให้เรียบร้อย สามารถถ่ายรูปได้ที่ Walgreens
- ใบเกิด (Birth Certificate) ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษเรียบร้อย และได้รับการรับรองจากกรมการกงศุล กระทรวงต่างประเทศ หรือ Public Notary ที่ใกล้บ้านเรา
- ใบทะเบียนสมรส (Marriage Certificate) 
- แบบฟอร์ม G-325A – biographic information อันนี้เป็นแบบฟอร์มข้อมูลเกี่ยวกับตัวเราว่าเป็นใคร เกิดที่ไหน อาศัยอยู่ที่ไหน ทำงานอะไรมาก่อน แต่งงานวันไหน คู่สมรสชื่ออะไร 
- แบบฟอร์ม I-693 - report of medical examination and vaccination record แบบฟอร์มการตรวจร่างกาย และประวัติการฉีดวัคซีน ที่ได้รับการรับรองจากแพทย์ 
- แบบฟอร์ม I-485 application to register permanent residence or adjust status แบบฟอร์มการสมัครขอกรีนการ์ด
- แบบฟอร์ม I-765 application for employment authorization แบบฟอร์มขออนุญาตทำงาน อันนี้มีหรือไม่มีก็ได้ แล้วแต่ความต้องการของแต่ละคน ตามกฏหมายของอเมริกัน หากยังไม่ได้รับกรีนการด์ ห้ามทำงาน หากอยากทำงานอย่างถูกต้องตามกฏหมายในระหว่างช่วงที่รอกรีนการ์ดก็ควรกรอกแบบฟอร์มนี้เพื่อที่จะได้รับใบอนุญาตทำงาน
- แบบฟอร์ม I-131 application for travel document แบบฟอร์มขออนุญาตออกนอกประเทศ ในระหว่างช่วงที่รอกรีนการ์ดนั้น ไม่ควรเดินทางออกนอกประเทศ หากมีความจำเป็นต้องออกนอกประเทศ ควรกรอกแบบฟอร์มนี้ไปด้วย 

2. เอกสารของคู่สมรส
สำเนาพาสปอร์ตหน้าแรก
- รูปถ่าย ขนาด Passport Size พื้นหลังสีขาว หน้าตรง ไม่สวมหมวก ไม่สวมแว่น จำนวน 2 รูป เขียนชื่อ นามสกุล ติดหลังรูปให้เรียบร้อย
- สำเนาใบเกิด (Birth Certificate) ของคู่สมรส
- สำเนา Tax return and W-2s เอกสารการใบขอคืนภาษีย้อนหลังอย่างน้อย 3 ปี 
- สำเนาสลิปเงินเดือน 3 เดือนล่าสุด 
- จดหมายรับรองการทำงาน ระบุตำแหน่งงาน ระยะเวลาที่ทำงาน เงินเดือน โบนัส พร้อมตราประทับของบริษัท 
- แบบฟอร์ม G-325A – biographic information เหมือนกับของเรา แต่เป็นข้อมูลขอผู้สมรส
- แบบฟอร์ม I-130 petition for alien relative แบบฟอร์มสปอนเซอร์ โดยคนที่จะเป็นสปอนเซอร์ให้เราได้นั้นจะต้องเป็นพลเมืองอเมริกันหรือผู้อาศัยถาวร ที่มีรายได้หลังหักภาษีตามเกณฑ์ที่รัฐกำหนด 
- แบบฟอร์ม I-864 affidavit of support แบบฟอร์มข้อมูลรายได้ และการเสียภาษีของคู่สมรส 

3. เอกสารที่ต้องยื่นร่วมกัน
- อัลบัมรูปถ่าย
- บัญชีธนาคารที่เปิดร่วมกัน (Join Bank Account )
- ประกันสุขภาพ (Health Insurance ) และประกันชีวิต (Life Insurance) ที่มีชื่อของทั้งสองฝ่ายร่วมกัน

หมายเหตุ: ไม่จำเป็นต้องมีครบทั้งสามอย่าง แต่ควรมีสองอย่างขึ้นไป

4. เช็ค แบ่งเป็นสองใบด้วยกัน ได้แก่ ใบแรกสั่งจ่าย จำนวน 1,070 เหรียญ สำหรับแบบฟอร์ม I-485 เช็คอีกใบสั่งจ่าย จำนวน 420 เหรียญ สำหรับแบบฟอร์ม I-130 สั่งจ่ายในนาม Department of Homeland Security. จ่ายให้ตรงจำนวน หากขาดหรือเกิน ทางเจ้าหน้าที่จะไม่รับเรื่อง (ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เช็คค่าใช้จ่ายอีกครั้งก่อนยื่นเรื่องที่ www.uscis.gov) และสามารถดูตัวอย่างการเขียนเช็คเพื่อสั่งจ่ายได้ ที่นี่

หลังจากนั้นส่งเอกสารทั้งหมดพร้อมเช็คไปที่
U.S. Citizenship and Immigration Services
PO Box 805887
Chicago, IL 60680-4120


หากมีข้อสงสัยสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.usvisa4thai.com หรือ www.uscis.gov

หมายเหตุ: ระยะเวลาในการยื่นเรื่องของแต่ละคนนั้นจะแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรัฐที่อาศัยอยู่ หากรัฐนั้นมีคนยื่นเรื่องเยอะ คิวยาว ก็จะต้องรอนานหน่อย โดยทั่วไปแล้วจะใช้เวลา 3-7 เดือน


วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ข่าวทุนการศึกษาและทำงานต่างประเทศ

ข่าวทุนการศึกษาต่อต่างประเทศ


Kurt Schork Memorial Fund มอบทุนการศึกษาสาขาหนังสือพิมพ์ หมดเขตรับสมัคร 31 พฤษภาคมนี้ ดูรายละเอียดเพิ่มเติม ที่นี่


ศูนย์ ELTC ประเทศมาเลเซีย มอบทุนอบรมภาษาอังกฤษระยะสั้นให้แก่ผู้สอนภาษาอังกฤษ ในทุกระดับ ตั้งแต่ประถมจนถึงมหาวิทยาลัย เพื่อพัฒนาให้ผู้สอนภาษาอังกฤษมีความเป็นมืออาชีพ สามารถสร้างสรรค์ และถ่ายทอดความรู้ภาษาอังกฤษให้แก่ผู้เรียนได้อย่างเต็มที่ เป็นเวลา 11 วัน ตั้งแต่วันที่ 8-19 ตุลาคม 2012 ดูรายละเอียดเพิ่มเติม  ที่นี่

Kurt Schork Memorial Fund มอบทุนทัศนศึกษาประเทศอังกฤษแก่ผู้ที่ทำงานในด้านสื่อสารมวลชน หรือนักเขียน ทุนนี้จะเน้นให้กับผู้สมัครที่ทำงานเขียนเกี่ยวกับความขัดแย้ง มนุษยธรรม ปัญหาชายแดน คอรัปชั่น หรือปัญหาที่เกี่ยวข้อง รับสมัครถึงวันที่ 31 พฤษภาคม ดูรายละเอียดเพิ่มเติม ที่นี่



ข่าวทำงานต่างประเทศ


รับสมัคร Chef ทำงานบนเรือสำราญประเทศอเมริกา อังกฤษ และสเปน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่นี่

รับสมัคร Head Chef ทำงานที่ประเทศจีน เงินเดือน 50,00-150,000 บาท ดูรายละเอียดเพิ่มเติม ที่นี่

บริษัททีวี ไดเร็ค (TV Direct) รับสมัคร Account Senior officer ประจำที่มาเลเชีย ดูรายละเอียดเพิ่มเติม ที่นี่

บริษัทศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) รับสมัคร Marketing Executive ประจำประเทศจีน สิงคโปร์ อินโดนีเชีย ดูรายละเอียดเพิ่มเติม ที่นี่

บริษัทชัยนาวี รับสมัครเจ้าหน้าทีประจำสำนักงานประเทศอินโดนียเชีย ดูรายละเอียดเพิ่มเติม ที่นี่







วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555

วีซ่าเรียนและท่องเที่ยวประเทศออสเตรเลีย (Australia Visa)

บทความที่แล้วได้พูดถึง วีซ่าเรียนและท่องเที่ยวประเทศนิวซีแลนด์ (New Zealand Visa) บทความนี้จะเกี่ยวกับการยื่นขอวีซ่าเข้าประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นประเทศที่อยู่ใกล้ๆ กับนิวซีแลนด์ และคนไทยนิยมไปเรียน ท่องเที่ยว และทำงานไม่แพ้กัน

การยื่นคำร้องขอวีซ่าเข้าประเทศออสเตรเลียนั้น ไม่ยุ่งยากสามารถทำได้ 2 วิธีคือ การยื่นทางไปรษณีย์ และการยื่นผ่านศูนย์บริการ VFS โดยเตรียมเอกสารดังนี้ 

เอกสารที่ใช้ในการยื่นขอวีซ่าท่องเที่ยว เยี่ยมเยือน


1. แบบฟอร์มยื่นขอวีซ่าออสเตรเลีย ดาวน์โหลดได้ ที่นี่ สามารถดูคำแนะนำการกรอกแบบฟอร์มได้ ที่นี่ 
2. ค่าธรรมเนียมวีซ่าท่องเที่ยวออสเตรเลีย ซื้อแคชเชียร์เช็ค (กรณีอยู่ในกรุงเทพฯ นนทบุรี สมุทรปราการ) หรือซื้อแบงค์ดราฟท์ (ถ้าไม่ได้ซื้อใน 3 จังหวัดข้างต้น) สั่งจ่าย "สถานทูตออสเตรเลีย กรุงเทพฯ" แยกตามจำนวนคน คนละ 1 ใบ ใบละ 3,600 บาท 
3. หนังสือเดินทาง (Passport) พร้อมสำเนา (รายละเอียดการทำ Passport)
4. สำเนาเอกสารส่วนตัว เช่น สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน พร้อมเซ็นรับรองสำเนา
5. รูปถ่ายสี 2 นิ้ว 2 รูป (ถ่ายไม่เกิน 6 เดือน) พื้นหลังสีขาว แต่งกายสุภาพเรียบร้อย ไม่สวมหมวก ไม่สวมแว่น หน้าตรง
6. จดหมายรับรองการทำงาน (ตัวอย่างจดหมายรับรองการทำงาน) ที่ระบุตำแหน่งงาน เงินเดือน ระยะเวลาในการทำงาน และวันลา กรณีเป็นเจ้าของบริษัท หรือมีกิจการเป็นของตัวเอง แสดงใบประกอบกิจการพร้อมบัญชีของบริษัท
7. หลักฐานการศึกษา
8. หลักฐานทางการเงิน  Bank Statement และ Bank guarantee ต้องแสดงให้เห็นว่ามีทุนทรัพย์ครอบคลุมค่าใช้จ่ายระหว่างการเดินทาง 
9. หลักฐานการจองตั๋วเครื่องบินไปกลับ
10. จดหมายเชิญจากเพื่อนหรือญาติที่อยู่ออสเตรเลีย 
11. ซองเปล่าติดแสตมป์ตามน้ำหนัก จ่าหน้าซองถึงตัวเอง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ส่งพาสปอร์ตคืน 

เอกสารที่ใช้ในการยื่นขอวีซ่านักเรียน 

1. แบบฟอร์มยื่นขอวีซ่านักเรียนออสเตรเลีย ดาวน์โหลดได้ ที่นี่ 
2. ค่าธรรมเนียมวีซ่านักเรียน สามารถชำระเป็น แคชเชียร์เช็ค หรือ Bank Draft สั่งจ่าย “Australian Embassy Bangkok” เป็นเงินสกุลบาท อัตราค่าธรรมเนียมการยื่นวีซ่านักเรียน ประมาณ 17,450 บาท
3. หนังสือเดินทาง (Passport) และสำเนาที่ได้รับการรับรองสำเนาถูกต้อง (รายละเอียดการทำ Passport)
4. สำเนาเอกสารส่วนตัว เช่น สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน 
พร้อมเซ็นรับรองสำเนา 
5. รูปถ่ายสี ขนาด 2 นิ้ว 3 รูป (ถ่ายไม่เกิน 6 เดือน) 
พื้นหลังสีขาว แต่งกายสุภาพเรียบร้อย ไม่สวมหมวก ไม่สวมแว่น หน้าตรง  
6. หลักฐานการศึกษา รวมถึงประกาศนียบัตรการเข้าอบรมวิชาการต่างๆ และ Transcript (หลักฐานการทำงานที่ออกโดยบริษัท กรณีเคยทำงานมาก่อน)
7. หลักฐานทางการเงิน ได้แก่ สำเนาสมุดบัญชีเงินฝากย้อนหลังติดต่อกัน 6 เดือน  Bank Statement และ Bank guarantee ครอบคลุมค่าเรียน และค่าใช้จ่ายทั้งหมดระหว่างที่ศึกษาที่ประเทศออสเตรเลีย  ขั้นต่ำประมาณ 500,000 บาท
8. หนังสือรับรองเรื่องที่พักในประเทศออสเตรเลีย
9. หนังสือตอบรับการเข้าเรียนจากสถานศึกษาที่ระบุหลักสูตร ระยะเวลาเรียน วันเปิดเทอม และวันสุดท้ายของการเรียน พร้อมใบเสร็จจากสถานศึกษา
10. ใบผ่านการเกณฑ์ทหาร
11. 
ใบตรวจสุขภาพ ซึ่งจะต้องเป็นโรงพยาบาลที่สถานฑูตระบุไว้เท่านั้น ได้แก่ โรงพยาบาลกรุงเทพ (เพชรบุรี), โรงพยาบาลบางกอกเนอสซิ่งโฮม BNH Medical Centre Ltd. (สีลม) และ โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ (แจ้งวัฒนะ) โดยดาวน์โหลดแบบฟอร์มการตรวจสุขภาพได้ ที่นี่ และแบบฟอร์มการเอ็กซเรย์ปอดได้ ที่ี่นี่
12. กรณีมีผู้สนับสนุน หรือ ผู้ค้ำประกัน 
  • ต้องแสดงสำเนาสมุดบัญชีเงินฝากย้อนหลังติดต่อกัน 6 เดือน หรือ Bank Guarantee ของผู้ค้ำประกัน ที่แสดงให้เห็นว่าผู้ค้ำประกัน สามารถดูแลค่าใช้จ่ายของผู้สมัครได้ 
  • ต้องมีจดหมายรับรองสถานภาพการทำงานของผู้ค้ำประกัน ระบุถึงรายได้ต่อปี ( รวมโบนัส ) ตำแหน่ง และอายุการทำงาน จดหมายนี้จะต้องออกโดยผู้มีอำนาจ หรือฝ่ายบุคคลของบริษัท/หน่วยงาน/ห้างร้านเท่านั้น 
  • ถ้าหากผู้ค้ำประกันเป็นเจ้าของกิจการ / บริษัท / ห้างร้าน จะต้องมีหนังสือรับรองบริษัท หรือหลักฐาน การจดทะเบียนที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นเจ้าของกิจการ พร้อมทั้งหลักฐานการเงินของบริษัท ซึ่งได้แก่ บัญชีเงินฝากของกิจการ / บริษัท / ห้างร้านนั้น
13. ซองเปล่าติดแสตมป์ตามน้ำหนัก จ่าหน้าซองถึงตัวเอง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ส่งพาสปอร์ตคืน 


จากนั้นนำเอกสารทั้งหมดใส่ซองจดหมาย ส่งไปที่ "แผนกวีซ่า สถานทูตออสเตรเลีย เลขที่ 37 ถนนสาทร (ใต้) กรุงเทพฯ 10120" ใช้เวลาในการพิจารณาอนุมัติวีซ่าประมาณ 5-7 วัน

กรณีที่ยื่นผ่าน บริษัทวีเอฟเอส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากสถานฑูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย ให้เป็นผู้บริหารสำนักงานเพื่อการยื่นขอวีซ่าออสเตรเลีย สามารถติดต่อยื่่นเอกสารด้วยตนเองได้ที่

ตึกไทยซี ซี ทาวเวอร์
ยูนิต 2 & 3 ชั้น 34
889 ถนนสาทรใต้ ยานนาวา
กรุงเทพฯ 10120
Tel: 66 (0) 26723476-79
Email: info.diacth@vfshelpline.com
Website:  http://www.vfs-au.net/  

วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2555

วีซ่าเรียนและท่องเที่ยวประเทศนิวซีแลนด์ (New Zealand Visa)

นิวซีแลนด์ (New Zealand) เป็นประเทศที่อยู่บริเวณตอนใต้ของเส้นศูนย์สูตร ล้อมรอบด้วยมหาสมุทรแปซิฟิคทางด้านตะวันออก และทะเลทัสมันทางด้านตะวันตก มีลักษณะทางภูมิศาสตร์เป็นหมู่เกาะ ประกอบด้วย เกาะใหญ่ 2 เกาะ คือ เกาะเหนือ (North Island) และ เกาะใต้ (South Island) มีพื้นที่รวมทั้งหมดประมาณ 268,000 ตารางกิโลเมตร ขนาดใกล้เคียงกับประเทศอังกฤษ ลักษณะเกาะมีรูปร่างยาว ประกอบไปด้วยชายหาดมากมาย และทะเลเล็ก ๆ ที่เรียกว่า ฟยอร์ด (Fjord) บางส่วนเป็นที่ราบอุดมสมบูรณ์ ใช้เพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ มีบ่อน้ำร้อน ภูเขาไฟที่ดับแล้ว และยังไม่ดับ บ่อโคลนเดือด บริเวณเทือกเขาสูงมีหิมะขาวปกคลุม 

นิวซีแลนด์ มีภูมิประเทศที่มีความหลากหลาย และสวยงาม มีสถานที่ที่น่าสนใจมากมาย เช่น วอลเตอร์ พีค ฟาร์ม ถ้าหากว่าชอบธรรมชาติก็ไม่ควรพลาดไปชม "วนอุทยานแห่งชาติเมาท์คุก" ที่มีทัศนียภาพอันงดงามตระการตาของยอดเขาเมาท์คุก ประกอบไปด้วยลานหิมะและธารน้ำแข็ง บนยอดเขาปกคุลมไปด้วยหิมะขาวโพลน "พิพิธภัณ์โลกใต้ทะเลเคลลี ทาร์ลตัน" และ "ยอดตึก Sky Tower" ที่สูงที่สุดในแถบใต้เส้นศูนย์สูตร (ข้อมูลจาก: นิวซีแลนด์แดนในฝัน travel.kapook.com)


ก่อนที่จะเข้าประเทศนิวซีแลนด์ได้นั้น สำหรับคนไทยต้องมีการยื่นคำร้องขอวีซ่า โดยมีรายละเอียดและขั้นตอนดังนี้

เอกสารที่ใช้ในการยื่นขอวีซ่าท่องเที่ยว เยี่ยมเยือน 


1. แบบฟอร์มยื่นขอวีซ่านิวซีแลนด์ ดาวน์โหลดได้ ที่นี่ 
2. ค่าธรรมเนียมวีซ่าท่องเที่ยวนิวซีแลนด์ 3,300 บาท 
3. หนังสือเดินทาง (Passport) พร้อมสำเนา (รายละเอียดการทำ Passport)
4. สำเนาเอกสารส่วนตัว เช่น สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน
5. รูปถ่ายสี 2 นิ้ว 2 รูป (ถ่ายไม่เกิน 6 เดือน)
6. จดหมายรับรองการทำงาน (ตัวอย่างจดหมายรับรองการทำงาน) กรณีเป็นเจ้าของบริษัท หรือมีกิจการเป็นของตัวเอง แสดงใบประกอบกิจการพร้อมบัญชีของบริษัท
7. หลักฐานการศึกษา
8. หลักฐานทางการเงิน  Bank Statement และ Bank guarantee ต้องแสดงให้เห็นว่ามีทุนทรัพย์ครอบคลุมค่าใช้จ่ายระหว่างการเดินทาง (1,000 เหรียญนิวซีแลนด์ต่อเดือน)
9. หลักฐานการจองตั๋วเครื่องบินไปกลับ
10. แบบฟอร์ม Sponsorship form for Temporary Entry ที่ได้กรอกรายละเอียด พร้อมทั้งได้รับการรับรองจากกองตรวจคนเข้าเมืองที่ประเทศนิวซีแลนด์แล้ว (กรณีที่มีชาวนิวซีแลนด์ให้การสนับสนุน)
11. ใบตรวจวัณโรค (กรณีต้องการอาศัยอยู่ในประเทศนานเกินกว่า 6 เดือน) ตรวจสอบรายชื่อโรงพยาบาล ที่นี่ ใบตรวจสุขภาพมีอายุไม่เกิน 3 เดือน
12. กรณีต้องการสมัครแบบครอบครัว เอกสารที่ต้องยื่นเพิ่มเติม มีดังนี้
  • ใบทะเบียนสมรส ใบสูติบัตรของบุตร พร้อมทั้งสำเนา
  • ถ้าเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีเดินทางโดยลำพัง หรือไม่ได้เดินทางพร้อมกับบิดาและมารดา จะต้องมีหนังสือแสดงความยินยอมจากบิดาและมารดาอนุญาตให้บุตรเดินทางได้

เอกสารที่ใช้ในการยื่นขอวีซ่านักเรียน

1. แบบฟอร์มยื่นขอวีซ่านักเรียนนิวซีแลนด์ ดาวน์โหลดได้ ที่นี่ อ่านคำแนะนำในการทำวีซ่าได้ ที่นี่
2. ค่าธรรมเนียมวีซ่านักเรียน 5,200 บาท สามารถชำระค่าธรรมเนียมด้วยบัตรเครดิต วีซ่า/มาสเตอร์ ตั๋วแลกเงิน แคชเชียร์เช็ค หรือเช็คที่ออกโดยธนาคาร สั่งจ่าย “สถานฑูตนิวซีแลนด์ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง)”
3. หนังสือเดินทาง (Passport) และสำเนาที่ได้รับการรับรองสำเนาถูกต้อง (รายละเอียดการทำ Passport)
4. สำเนาเอกสารส่วนตัว เช่น สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน
5. รูปถ่ายสี ขนาด 2 นิ้ว 2 รูป (ถ่ายไม่เกิน 6 เดือน)
6. หลักฐานการศึกษา และหลักฐานการทำงานที่ออกโดยบริษัท (กรณีเคยทำงานมาก่อน)
7. หลักฐานทางการเงิน ได้แก่ สำเนาสมุดบัญชีเงินฝากย้อนหลังติดต่อกัน 6 เดือน 
Bank Statement และ Bank guarantee ครอบคลุมค่าเรียน และค่าใช้จ่ายทั้งหมดระหว่างที่ศึกษาที่นิวซีแลนด์
8. หนังสือรับรองเรื่องที่พักในประเทศนิวซีแลนด์
9. หนังสือตอบรับการเข้าเรียนจากสถานศึกษาที่ระบุหลักสูตร ระยะเวลาเรียน วันเปิดเทอม และวันสุดท้ายของการเรียน พร้อมใบเสร็จจากสถานศึกษา
10. ถ้าเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีเดินทางโดยลำพัง หรือไม่ได้เดินทางพร้อมกับบิดาและมารดา จะต้องมีหนังสือแสดงความยินยอมจากบิดาและมารดาอนุญาตให้บุตรเดินทางได้ พร้อมด้วยสำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด
11. สำหรับผู้สมัครที่อายุตั้งแต่ 17 ปีขึ้นไปและต้องการศึกษาต่อที่ประเทศนิวซีแลนด์เป็นเวลา 2 ปีขึ้นไปจะต้องยื่นรายงานการสอบประวัติอาชญากรรม (ใบรับรองความประพฤติ จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ) ที่มีอายุไม่เกิน 6 เดือน
12. ใบตรวจวัณโรค (กรณีต้องการอาศัยอยู่ในประเทศนานเกินกว่า 6 เดือน) ตรวจสอบรายชื่อโรงพยาบาล ที่นี่ ใบตรวจสุขภาพมีอายุไม่เกิน 3 เดือน
13. กรณีมีผู้สนับสนุน หรือ ผู้ค้ำประกัน 
  • ต้องแสดงสำเนาสมุดบัญชีเงินฝากย้อนหลังติดต่อกัน 6 เดือน หรือ Bank Guarantee ของผู้ค้ำประกัน ที่แสดงให้เห็นว่าผู้ค้ำประกัน สามารถดูแลค่าใช้จ่ายของผู้สมัครได้ 
  • ต้องมีจดหมายรับรองสถานภาพการทำงานของผู้ค้ำประกัน ระบุถึงรายได้ต่อปี ( รวมโบนัส ) ตำแหน่ง และอายุการทำงาน จดหมายนี้จะต้องออกโดยผู้มีอำนาจ หรือฝ่ายบุคคลของบริษัท/หน่วยงาน/ห้างร้านเท่านั้น 
  • ถ้าหากผู้ค้ำประกันเป็นเจ้าของกิจการ / บริษัท / ห้างร้าน จะต้องมีหนังสือรับรองบริษัท หรือหลักฐาน การจดทะเบียนที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นเจ้าของกิจการ พร้อมทั้งหลักฐานการเงินของบริษัท ซึ่งได้แก่ บัญชีเงินฝากของกิจการ / บริษัท / ห้างร้านนั้น


การยื่นคำร้องขอวีซ่า
  • ท่านสามารถยื่นขอวีซ่าด้วยตนเอง หรือส่งทางไปรษณีย์ได้
  • เอกสารยื่นขอวีซ่าทั้งหมดจะต้องเป็นภาษาอังกฤษ 
  • ใช้เวลาทำการประมาณ 5-7 วัน 
  • ไม่มีการคืนค่าวีซ่า ไม่ว่าผลการพิจารณาจะได้รับการอนุมัติหรือไม่
  • เวลาทำการ 09.00 – 12.00 และ 13.00 – 15.00 (วันจันทร์ ถึง วันศุกร์)
  • ท่านสามารถมารับแบบฟอร์มต่างๆ ได้ด้วยตนเอง หรือ พิมพ์จาก www.immigration.govt.nz

สถานที่ยื่นคำร้องขอวีซ่า 

แผนกวีซ่า สถานทูตนิวซีแลนด์
ชั้น 15 อาคารเอ็มไทยทาวเวอร์ ออลซีซั่นเพลส
เลขที่ 87 ถนนวิทยุ ปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
Tel: (66) 2 654 3444 
Fax: (66) 2 654 3445
E-mail: nzisbangkok@dol.govt.nz



ขอวีซ่าไปเยือนอินเดีย (India Visa)

เราเคยพูดถึง "โครงการแบกเป้ไปเรียนภาษาอังกฤษที่อินเดีย" เพื่อให้ง่ายแก่การเตรียมตัวไปท่องเที่ยว เรียนภาษาอังกฤษ หรือเรียนต่อที่อินเดียโดยไม่ต้องไปเสียเวลาหาข้อมูลให้ยุ่งยาก บทความนี้จะนำเรื่องราวเกี่ยวกับทำวีซ่าเพื่อเข้าประเทศอินเดีย ซึ่งมีรายละเอียดการเตรียมเอกสารและขั้นตอนดังนี้ 

เอกสารที่ใช้ในการยื่นขอวีซ่า (Tourist Visa)
1. แบบฟอร์มยื่นคำร้องขอวีซ่า กรอกใบสมัครออนไลน์ ที่นี่

2. หนังสือเดินทาง (Passport) ที่มีอายุการเดินทางไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ถ่ายสำเนาหน้าแรก และทุกหน้าที่ประทับตราวีซ่าจากการเดินทางไปประเทศอื่นๆ (รายละเอียดการทำ Passport)
3. รูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว 2 รูป 
4. สำเนาทะเบียนบ้านและบัตรประจำตัวประชาชน 
5. ค่าธรรมเนียมวีซ่า 2,217  บาท 


เอกสารที่ใช้ในการยื่นขอวีซ่า (Student Visa)

1. แบบฟอร์มยื่นคำร้องขอวีซ่า กรอกใบสมัครออนไลน์ ที่นี่

2. หนังสือเดินทาง (Passport) ที่มีอายุการเดินทางไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ถ่ายสำเนาหน้าแรก และทุกหน้าที่ประทับตราวีซ่าจากการเดินทางไปประเทศอื่นๆ (รายละเอียดการทำ Passport)
3. รูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว 2 รูป 
4. สำเนาทะเบียนบ้านและบัตรประจำตัวประชาชน 
5. หนังสือตอบรับจากทางสถาบันฉบับจริงพร้อมสำเนา 2 ชุด 
6. ค่าธรรมเนียมวีซ่า 2,217 – 3,300   บาท ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการศึกษาต่อ 


ขั้นตอนในการยื่นเรื่องขอวีซ่า

1. กรอกแบบฟอร์มยื่นคำขอวีซ่า
2. ปรินท์ใบสมัครที่ดาวน์โหลดแนบกับเอกสารที่ต้องใช้ในการขอวีซ่าพร้อมเซ็นชื่อรับรอง
3. นำเอกสาไปยื่นที่ศูนย์รับขอวีซ่า
4. รับหนังสือเดินทางพร้อมวีซ่าในวันถัดไปของเวลาทำการ

เวลายื่นวีซ่า


ศูนย์รับขอวีซ่าเปิดให้บริการวันจันทร์-วันศุกร์
ยกเว้นวันหยุดตามสถานฑูต
เวลารับยื่นเอกสาร 8.30 น. – 15.00 น
เวลารับพาสปอตร์คืน 15.00 น.-16.30 น. ของวันถัดไป

สถานที่ยื่นคำร้องขอวีซ่า


1 อาคารกลาสเฮาส์ ชั้น 15 ห้อง 1503 ซอยสุขุมวิท 25
ถนน สุขุมวิท เขต วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
Tel: +66(2) 6652968/69
E-mail: info@ivac-th.com
Website: http://www.ivac-th.com/



ติดตามผลใบสมัคร 

ท่านสามารถสมัครใช้บริการรายงานสถานะใบสมัครได้ทาง ข้อความสั้น(SMS) ซึ่งสะดวกสบายไม่ต้องเสียเวลายกโทรศัพท์มาสอบถามบริการนี้ัจะส่งถึงท่านตามขั้นตอนต่างและสามารถรับได้ทั้งภาษาไทย และ อังกฤษ และหากท่านมีอีเมลล์บริการนี้ก็จะคลอบคลุมไปด้วยเช่นกัน หรืออีกหนึ่งช่องทางของการตรวจสอบโดยการเช็คออนไลน์เพียงใส่ข้อมูลของท่าน หมายเลขพาสปอร์ต และ นามสกุล ตรวจสอบได้ ที่นี่ 





หมายเหตุ: ศูนย์รับคำขอวีซ่าประเทศอินเดียเป็นศูนย์ที่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการโดยสถานทูตอินเดีย กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย เพื่อการรับคำขอวีซ่าประเภทต่างๆ การเก็บค่าธรรมเนียมคำขอวีซ่า และการส่งคืนหนังสือเดินทางให้แก่ผู้ขอวีซ่า นอกจากนี้ ศูนย์รับคำขอวีซ่าประเทศอินเดียยังเป็นหน่วยงานที่ดำเนินการเรื่องการนัดหมายการสัมภาษณ์ตามที่สถานทูตอินเดียกำหนดอีกด้วย 




วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555

ขอวีซ่า J1 ไปอเมริกา

บทความที่แล้วได้พูดถึงเรื่อง วีซ่าท่องเที่ยวอเมริกา (B1/B2) บทความนี้เราจะมาพูดถึงวีซ่าอเมริกาอีกประเภทหนึ่งที่เด็กไทยนิยมใช้ในโครงการ Work and Travel, Au pair และ Disney Summer Work Experience นั่นก็คือ วีซ่า J1 เป็นวีซ่าสำหรับนักเรียน หรือนักศึกษาที่ศึกษาอยู่ในประเทศไทยและต้องการเดินทางไปศึกษาแลกเปลี่ยนทั้งในเรื่องวัฒนธรรมหรือวิชาการ โดยผู้ขอจะได้รับอนุญาตให้อยู่ในประเทศได้สูงสุด 2 ปี อีกทั้งได้รับอนุญาตให้ทำงานโดยไม่จำกัดชั่วโมงการทำงาน และไม่จำกัดจำนวนงานอีกด้วย 

ขั้นการขอวีซ่านั้นเหมือนกับการขอวีซ่าท่องเที่ยว แต่จะแตกต่างกันที่เอกสารที่ใช้ยื่น โดยมีรายละเอียดดังนี้ 

1. หนังสือเดินทาง (Passport) ที่มีอายุการเดินทางไม่ต่ำกว่า 6 เดือน หากมีเล่มเก่า ให้นำเล่มเก่ามาแสดงด้วยในวันยื่นเอกสารขอวีซ่า (รายละเอียดการทำ Passport)
2. รูปถ่าย ขนาด 2X2 นิ้ว พื้นหลังสีขาว ไม่สวมหมวก หน้าตรง ไม่สวมแว่นกันแดด ที่สำคัญต้องเห็นใบหูทั้งสองข้างอย่างชัดเจน ไม่ใส่ต่างหู แต่งกายสุภาพ เรียบร้อย ดูน่าเชื่อถือ ใช้รูปถ่าย 2 รูป และแสกนเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ 1 รูป ไฟล์ jpg เพื่อใช้ตอนกรอกแบบฟอร์ม DS-160 
3. บัตรประจำตัวประชาชน และทะเบียนบ้าน 
4. ใบรับรองสถานภาพนักศึกษา พร้อม Transcript (ภาษาอังกฤษ) ออกโดยมหาวิทยาลัยที่ศึกษาอยู่ พร้อมตราประทับ
5. ใบรับรองความประพฤติ จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
6. ใบรับรองทางการแพทย์ สามารถขอได้ที่โรงพยาบาล หรือคลินิค โดยใช้แบบฟอร์มที่โรงพยาบาลหรือคลินิคใช้อยู่
7. ประกันภัยการเดินทาง ที่ถูกกฏหมายของประเทศอเมริกา ครอบคลุมระยะเวลาในการเดินทาง และเลือกการประกันที่ครอบคลุมการดูแลทั้งเรื่องกระเป๋าเดินทาง อุบัติเหตุ สุขภาพ มีวงเงินไม่ต่ำกว่า 1,500,000 บาท
8. เอกสาร DS-2019 ที่เจ้าของโครงการจากประเทศอเมริกาส่งมาให้
9. จดหมายแนะนำตัว อันนี้จะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่ถ้ามีก็จะเป็นเรื่องที่ดี แสดงให้เจ้าหน้าที่เห็นภูมิหลังของเราว่าเป็นใคร มาจากที่ไหน ทำงานอะไร เคยไปต่างประเทศที่ไหนมาบ้าง และจะไปทำอะไรที่อเมริกา (ตัวอย่างการเขียนจดหมายเพื่อใช้ในการขอวีซ่า)
10. บัญชีธนาคาร (ของผู้ปกครอง) ต้องมีเงินหมุนเวียนตลอด และมีเงินเพียงพอในการกิน อยู่ ใช้จ่าย ท่องเที่ยวในอเมริกา ให้ธนาคารออก Bank Statement และ Bank guarantee ระบุจำนวนเงินเป็น USD 
11. เอกสารรับรองการทำงานของผู้ปกครอง (ภาษาอังกฤษ) ระบุตำแหน่งงาน เงินเดือน ระยะเวลาที่ทำงาน หากมีกิจการเป็นของตัวเอง สามารถใช้เอกสารที่แสดงความเป็นเจ้าของกิจการ โดยแปลเป็นภาษาอังกฤษ 
12. เอกสารอื่นๆ เช่น ใบสมรส ใบเปลี่ยนชื่อ โฉนดที่ดิน สัญญาจดจำนอง ภาระผ่อนต่างๆ เอกสารที่แสดงภาระผูกพันกับประเทศไทย เป็นต้น

เมื่อเตรียมเอกสารต่างๆ ครบแล้ว ก็มาถึงขั้นตอน "กรอกแบบฟอร์มและนัดหมายเพื่อสัมภาษณ์วีซ่า" โดยมีรายละเอียดดังนี้ 

1. เข้าไปที่เว็บ www.ustraveldocs.com/th และสร้างบัญชีผู้ใช้ เลือกประเภทของวีซ่าและค่าธรรมเนียมตามวีซ่าประเภทนั้นๆ ซึ่งจะได้แบบฟอร์มใบฝากเงินธนาคารที่มีรายละเอียดตามที่กรอก ให้พิมพ์แบบฟอร์มใบฝากเงินธนาคารนั้นออกมา   

2. นำใบฝากเงินธนาคารที่ได้มาไปยังธนาคารกรุงศรีอยุธยา ณ สาขาตามที่กำหนดไว้เพื่อจ่ายค่าธรรมเนียมสมัครวีซ่า 

3. การกรอกแบบฟอร์มขอวีซ่าประเภทชั่วคราว DS-160 เป็นแบบฟอร์ม Online ที่ต้องกรอกทาง Internet เท่านั้น เข้าไป ที่นี่ ดูคำแนะนำวิธีการกรอกแบบฟอร์มได้ ที่นี่ และดูรายละเอียดแบบฟอร์มที่แปลเป็นภาษาไทยได้ ที่นี่

4. เมื่อกรอกครบถ้วน เรียบร้อยแล้ว ให้ Print หน้า Confirmation DS-160  พร้อมหน้าที่กรอกทั้งหมดออกมาใส่แฟ้มรวมกับเอกสารข้างต้น 

5. กำหนดนัดหมายวันสัมภาษณ์ทางอินเทอร์เน็ตที่ www.ustraveldocs.com/th หรือทางโทรศัพท์ผ่านศูนย์บริการที่ 02-105-4110 


6. ชำระค่า SEVIS FEE ราคา 200 $ SEVIS FEE: คือ ค่าธรรมเนียมการจัดการข้อมูลนักเรียนและบุคลากรต่างชาติ ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากนักเรียนต่างชาติ ผู้ยื่นคำขอวีซ่าประเภท F, M, หรือ J โดยทั่วๆ ไป หลังจากที่นักเรียนได้รับ I-20 หรือ DS-2019 ที่สถานศึกษาออกให้แล้ว นักเรียนต้องจ่าย SEVIS Fee ให้ US Department of Home Land Security ก่อนที่จะไปดำเนินเรื่องขอวีซ่า ณ สถานทูต สามารถจ่ายได้ทางไปรษณีย์หรือทางอินเทอร์เน็ต https://www.fmjfee.com/index.jhtml หากจ่ายทางไปรษณีย์ ให้ใช้แบบฟอร์มของ Homeland โดยส่งไปพร้อมภาพถ่ายเอกสาร I-20 หรือ DS-2019 ทั้งนี้ ให้เก็บหลักฐานการจ่ายเงินด้วย ในกรณีที่จ่ายทางอินเทอร์เน็ต ให้พิมพ์ใบเสร็จรับเงินค่า SEVIS Fee เก็บไว้อย่างน้อย 3 ชุด ชุดแรกให้กับสถานกงทูตเมื่อไปยื่นเรื่องขอวีซ่า ชุดที่สองติดตัวช่วงเดินทางไปอเมริกา . และชุดสุดท้ายเก็บเป็นหลักฐานของตนเองตลอดระยะเวลาที่ศึกษาอยู่ สถานศึกษาบางแห่งอาจเรียกเก็บ SEVIS Fee จากนักเรียนโดยตรง ซึ่งบางแห่งก็คิดค่าใช้จ่ายในการจัดการค่า SEVIS เพิ่มจากที่ต้องจ่ายให้ Home Land Security

7. สุดท้ายก่อนไปสัมภาษณ์ ให้ตรวจเช็คเอกสารอีกครั้งว่าครบถ้วนถูกต้องหรือไม่ จากนั้นจัดเรียงเอกสารใส่แฟ้ม ให้เรียงเอกสารดังนี้ 
  • นำพาสปอร์ตและรูปถ่ายไว้หน้าสุด
  • ใบเสร็จค่าธรรมเนียมวีซ่า
  • ใบเสร็จรับเงินค่า  SEVIS Fee
  • เอกสาร DS-2019 
  • ใบนัดหมายการสัมภาษณ์ (Appointment Confirmation)
  • ใบ  Confirmation  DS-160 
  • สำเนาพาสปอร์ตหน้าแรก และทุกหน้าที่มีการประทับตราวีซ่า พร้อมลายเซ็นต์กำกับ
  • ใบรับรองสถานภาพนักศึกษา พร้อม Transcript  
  • ใบรับรองความประพฤติ 
  • ใบรับรองทางการแพทย์
  • ประกันภัยการเดินทาง
  • เอกสารรับรองทางเงินของผู้ปกครอง
  • เอกสารรับรองการทำงานของผู้ปกครอง
  • สุดท้ายจดหมายแนะนำตัว 

สถานที่ยื่นขอวีซ่า 

ในประเทศไทยสามารถยื่นขอวีซ่าอเมริกาได้ 2 แห่ง คือ ที่กรุงเทพและเชียงใหม่ คนที่จะสามารถสัมภาษณ์วีซ่าที่เชียงใหม่ได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่อาศัย ทำงาน หรือเรียน ในจังหวัดดังต่อไปนี้ ได้แก่ เชียงใหม่, ลำพูน, พะเยา, สุโขทัย, เชียงราย, แม่ฮ่องสอน, พิจิตร, ตาก, กำแพงเพชร, น่าน, พิษณุโลก, อุตรดิตถ์, ลำปาง, เพชรบูรณ์, แพร่ โดยต้องสามารถพิสูจน์ได้ว่าได้พำนักหรือทำงานหรือศึกษาไม่น้อยกว่า 3 เดือนในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา

สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา
95 ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ 10330


สถานกงสุลสหรัฐอเมริกา ประจำเชียงใหม่
387 ถ.วิชยานนท์ ต.ช้างม่อย อ.เมือง เชียงใหม่ 50300 

หมายเหตุ: สำหรับคนที่มีทะเบียนบ้านที่เชียงใหม่่ แต่ทำงานกรุงเทพหรือจังหวัดอื่นๆที่ไม่ได้กล่าวข้างต้น ไม่สามารถสัมภาษณ์ที่เชียงใหม่ได้ ต้องสัมภาษณ์ที่กรุงเทพเท่านั้น

จากนั้นมาถึงขั้นตอนที่น่าตื่นเต้น "ยื่นเอกสารและสัมภาษณ์" มีคำแนะนำดังนี้ 

1. ตื่นนอนแต่เช้า ทำใจให้สบาย
2. อาบน้ำ แต่งกายให้สุภาพ เรียบร้อย ดูน่าเชื่อถือ ห้ามใส่กางเกงยีนส์ ผู้ชายควรใส่สูท ผูกไท รองเท้าหนัง ส่วนผู้หญิงกางเกงหรือกระโปง ที่สุภาพ ห้ามใส่กระโปรงสั้น รองเท้าควรเป็นรองเท้าหุ้มส้น
3. ควรไปถึงก่อนเวลานัดหมาย 1 ชั่วโมง
4. เมื่อมาถึงแล้วให้ต่อคิวรออยู่หน้าสถานทูต จากนั้นจะมีพนักงานมาตรวจเอกสารและเวลานัดหมาย
5. เตรียมตัวผ่านจุดตรวจเพื่อรักษาความปลอดภัย – อาวุธ ของมีคม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งโทรศัพท์มือถึง ไม่สามารถนำเข้ามาในสถานทูตฯ ได้ ให้ฝากไว้ที่พนักงานรักษาความปลอดภัย โดยยื่นอุปกรณ์ทั้งหมดพร้อมบัตรประจำตัวประชาชนให้กับเจ้าหน้าที่ จากนั้นเจ้าหน้าที่จะให้บัตรหมายเลขฝากไว้เพื่อมารับของคืนเมื่อสัมภาษณ์เสร็จ 

6. เจ้าหน้าที่ตรวจกระเป๋า พร้อมแสกนรอบๆตัว 
7. เดินเข้าไปในสถานทูต ยื่นเอกสารให้พนักงาน จากนั้นพนักงานจะให้เอกสารแผ่นเล็กๆ บางคนได้รับสีขาว บางคนได้รับสีเหลือง แตกต่างกัน กรอกชื่อ ที่อยู่ที่ และเบอร์โทรศัพท์ และยื่นบัตรคิวให้
8. นั่งรอ จนกว่าจะมีคนเรียก เมื่อมีคนมาเรียก เดินเข้าไปในห้องเพื่อพิมพ์ลายนิ้วมือ 
9. จากนั้นพนักงานจะบอกว่าไปต่อแถวไหน เพื่อสัมภาษณ์ 
10. การสัมภาษณ์นั้นจะมีสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ คำถามส่วนใหญ่ก็จะถามว่า 
  • แนะนำตัว
  • อยู่ทีไหน
  • ไปที่ไหน 
  • ไปกี่วัน 
  • เดินทางวันไหน กลับวันไหน
  • ทำไมถึงเลือกไปเมืองนั้น 
  • ใครเป็นคนออกเงินให้ 
  • ไปกี่คน คนเดียว หรือมีเพือนไปด้วย
  • เรียนทีไหน คณะอะไร จบมาแล้วจะทำอะไร 
  • เคยได้วีซ่าอเมริกาหรือยัง
  • นอกจากนี้ก็จะถามถึงว่าเคยไปเที่ยวประเทศไหนมาบ้าง 
  • เล่าประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวประเทศนั้นๆ 
  • พูดได้กี่ภาษา อะไรบ้าง
  • เคยโดนปฏิเสธวีซ่าไหม
  • พ่อ แม่อยู่ไหน ทำงานอะไร 
11. คอยฟังคำถามให้ดี ตอบให้ชัดเจน หากไม่เข้าใจคำถามขอให้ทวนคำถามอีกรอบ
12. เมื่อสัมภาษณ์เสร็จ หากวีซ่าผ่านจะไม่คืนพาสปอร์ต แต่จะให้ใบเอกสารเล็กๆ สีขาวหรือเหลืองที่เรากรอกไปข้างต้น แล้วบอกว่าให้เอาไปจ่ายเงินที่ไปรษณีย์ด้านนอก
13. จ่าหน้าซองจดหมายถึงตัวเอง จากนั้นชำระเงิน 75 บาท 
14. เดินออกสถานทูต อย่าลืมรับของที่ฝากไว้ 
15. กลับบ้านเพื่อรอรับพาสปอร์ตพร้อมวีซ่า ประมาณ 3-5 วันก็จะได้รับวีซ่า 
16. กรณีที่วีซ่าถูกปฏิเสธผู้ขอวีซ่าจะได้รับใบแจ้งเหตุผล และมีสิทธิที่จะยื่นขอสัมภาษณ์วีซ่าอเมริกา อีกครั้งเมื่อใดก็ได้ ในการสมัครวีซ่าใหม่ ผู้ขอวีซ่ายังคงต้องปฏิบัติตามกระบวนการทั้งหมด กรอกแบบฟอร์มการสมัครใหม่ ชำระค่าธรรมเนียมการสมัครวีซ่าอีกครั้ง 
17. การขอวีซ่าใหม่โดยที่ยังขาดหลักฐานที่หนักแน่นและมีนัยสำคัญที่สามารถแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ของผู้ขอวีซ่า อาจไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลการพิจารณาอนุมัติวีซ่าได้

หมายเหตุ: หากสัมภาษณ์ที่เชียงใหม่ ให้ซื้อซองไปรษณีย์ไปก่อนวันสัมภาษณ์ บอกเจ้าหน้าที่ว่าซื้อซองไปรษณีย์เพื่อสัมภาษณ์วีซ่าอเมริกา สามารถซื้อได้ทีไปรษณีย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสาขาแม่ปิง 

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเตรียมเอกสารเพื่อยื่นคำร้องขอวีซ่า การกรอกแบบฟอร์ม DS-160 การเตรียมหลักฐาน และการสัมภาษณ์ สามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://thai.bangkok.usembassy.gov

ตอบทุกข้อสงสัย คลายทุกปัญหาเกี่ยวกับวีซ่าอเมริกา ที่นี่ สำหรับคนที่สนใจข้อมูลการยื่นขอกรีนการ์ดด้วยตนเอง สามารถอ่านรายละเอียดได้ ที่นี่



ขอให้ทุกคนโชคดีได้รับวีซ่าไปทำงานและท่องเที่ยวที่อเมริกาอย่างสนุกสนาน