วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

Black Friday เทศกาลที่นัก shop ไม่ควรพลาด!



คนอเมริกัน เทศกาลเขาก็มีเยอะไม่แพ้คนไทยเลย เมื่อก่อนตอนที่ย้ายมาอยู่อเมริกาใหม่ๆ เคยสงสัยนะว่าทำไมคนที่นี้ตื่นเต้นกับ Black Friday จัง แล้วมันเป็นวันอะไร.......

งงได้อยู่ปีหนึ่ง หลังจากนั้นพี่สะใภ้พาตะลุยทำความรู้จักกับ Black Friday พอได้รู้จักวันนี้เท่านั้นละ กลายเป็นวันที่ชอบที่สุดในหนึ่งปีไปเลย นี้แหละวันที่ฉันรอคอย......

หลังจากที่อิ่มหน่ำสำราญกับการกินไก่งวงในวันขอบคุณพระเจ้าในวันพฤหัสบดีแล้ว วันต่อมาก็วันศุกร์ เป็นวันที่ทุกคนต่างออกมา shopping จับจ่ายเลือกซื้อสินค้า บางคนไม่รอให้ถึงวันศุกร์ด้วยซ้ำ พอทานข้าวเสร็จ ค่ำๆ ของวันพฤหัสก็ไปต่อคิวซื้อของร้านที่ตัวเองชอบ เพราะสินค้าถูกมีจำนวนจำกัด

วันนี้ถ้าใครอยู่บ้านนี้ถือว่าเชย และพลาดมาก เพราะถือได้ว่าเป็นวัน Shopping แห่งชาติอเมริกัน ร้านรวงต่างๆ ลดราคากระหน่ำส่งท้ายปี ลดแบบไม่เกรงใจญาติผู้ใหญ่ ไม่ใช่แค่ 50 % แต่ 70%-80% คะ บางร้านลดไม่พอ มีของแถมให้ด้วย

คนที่นี่จะรอคอยวันนี้ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนกันเลยทีเดียว บางบ้านจะมีกระดานติดไว้ให้คนในบ้านเขียน Wish List หรือของที่อยากได้ ของที่ซื้อส่วนใหญ่ก็จะเป็นของขวัญเพื่อให้สมาชิกในครอบครัวในวันคริสต์มาส พวกเสื้อผ้า เครื่องสำอาง ของใช้ในบ้าน ยิ่งพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า ตู้เย็น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ ทีวีจะลดเยอะเป็นพิเศษ 




หลายคนคงสงสัยแล้วทำไมถึงเรียกว่า Black Friday ที่เรียกแบบนี้ก็เพราะคนทั้งเมือง ไม่ใช่สิแทบจะทั้งประเทศออกจากบ้านมารวมตัวกัน พอมันหนาแน่นมันจะดูมืดดำไปหมด รวมถึงการจราจรก็หนาแน่นตามไป

นอกจากนี้ “Black” ในที่นี้ยังหมายถึง ตัวเลขในบัญชีที่กลายเป็นบวก เนื่องจาก Black Friday ทำให้เจ้าของร้านค้าปลีกได้กำไรมหาศาล ทำให้บัญชีตัวแดง (ที่หมายถึงผลประกอบการติดลบ) เปลี่ยนมาเป็นตัวดำ ที่หมายถึงการมีกำไรนั่นเอง

นอกจาก Black Friday ที่นี่ยังมี Cyber Monday เอาใจนัก Shop Online หรือคนที่ขี้เกียจไปเบียดเสียดเข้าคิวต่อแถวซื้อของในวัน Black Friday คือในวันจันทร์ถัดจากวันศุกร์ที่เป็น Black Friday เหล่าร้านค้าออนไลน์ต่างๆ ก็จะร่วมใจกันลดราคาสินค้าเพื่อให้เอาใจคนชอบซื้อทั้งหลาย บางเว็บไซต์ลดมากยิ่งกว่าร้านค้าที่ลดตอน Black Friday เสียอีก

วัน Shopping แห่งชาติของคนอเมริกัน ยังไม่หมดนะคะ เขายังมี Super Saturday ส่งท้ายปีอีก ถือเป็นการสิ้นสุดเทศกาลช้อปปิ้งเทศกาลคริสต์มาส ร้านค้ามักจะขยายเวลาปิดร้านออกไป อารมณ์เหมือน Midnight Sale ในบ้านเราที่ให้นักช้อปพากันส่งท้ายให้เต็มที่เลยค่ะ

เอาละทีนี้นัก Shop ทั้งหลายก็ไม่ควรพลาด เตรียมตัวให้พร้อมตั้งแต่ต้นปีเลย ทั้งการเงินและร่างกาย ปลายปีมาจะได้ซื้อของให้หนำใจไปเลย


วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

เกร็ดความรู้วันขอบคุณพระเจ้า Thanksgiving




วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับวันสำคัญอีกวันหนึ่งของคนอเมริกัน ซึ่งนั่นก็คือ วันขอบคุณพระเจ้าหรือ Thanksgiving ซึ่งจัดฉลองกันในวันพฤหัสบดีที่สี่ของเดือนพฤศจิกายนของทุกปี

หากจะทำความเข้าใจความสำคัญของวันนี้ เราต้องย้อนกลับไปเมื่อ 400 ปีที่แล้ว ที่คณะนักจาริกแสวงบุญ หรือที่เราเรียกกันว่า พวก pilgrims นิกายศาสนาบริสุทธิ์ ได้อพยพเดินทางจากประเทศอังกฤษ เพื่อมาตั้งรกรากที่เมือง Plymouth มลรัฐ Massachusetts

โดยการเข้ามาช่วงแรกนั้น การใช้ชีวิตเป็นไปด้วยความยากลำบาก ต้องทนอยู่ในอากาศหนาว และขาดแคลนอาหาร เพราะยังไม่มีความรู้เรื่องการเพาะปลูก

ต่อมาในฤดูใบไม้ร่วงปีรุ่งขึ้น คศ. 1621 หลังจากที่รอดชีวิตจากความอดอยาก โรคภัยไข้เจ็บและอากาศหนาวเย็นในดินแดนใหม่มาได้ครบ 1 ปี หลังเก็บเกี่ยวพืชผลแล้ว พวกพิลกริมส์เลยจัดให้มีงานเลี้ยงฉลองขอบคุณพระเจ้า โดยได้เชิญชาวอินเดียนแดงพื้นเมืองมาร่วมด้วย เนื่องจากว่าชาวอินเดียนแดงเป็นผู้สอนพวกพิลกริมส์ ให้เพาะปลูกข้าวโพดและพืชผลพื้นเมืองอื่นๆ ไว้เป็นอาหารประทังชีวิต

ในการจัดเลี้ยงครั้งนั้น อาหารที่นำมาขึ้นโต๊ะประกอบไปด้วย ไก่งวงป่า เป็ด ห่าน ปลาค้อดและกวาง

เนื่องด้วยไก่งวงเป็นอาหารมื้อแรกของการเฉลิมฉลองขอบคุณพระเจ้าในวันนั้น จึงกลายมาเป็นอาหารสัญลักษณ์ของวัน Thanksgiving มาจนถึงทุกวันนี้ นอกจากไก่งวงแล้ว ปัจจุบันแม่บ้านอเมริกันยังนิยมอบแฮม ทำมันเทศและมันหวานบด  ย่างข้าวโพด และอบถั่วเขียว หรือที่เรียกว่า Green bean casserole ส่วนพวกของหวานก็จะมีพายฟักทอง และพายข้าวโพด

ในช่วงแรกนั้น วันขอบคุณพระเจ้าไม่ได้ถูกจัดให้เป็นวันหยุดที่มีการฉลองกันทั่วประเทศ จนกระทั่งนาง Sarah Josepha Hale บรรณาธิการนิตยสารสตรี Godey's Lady's Book รณรงค์ต่อรัฐสภาสหรัฐ

ในปี คศ. 1863 ประธานาธิบดีลินคอล์นเลยประกาศให้วันขอบคุณพระเจ้าเป็นวันหยุดทั่วประเทศสืบเนื่องมาจนทุกวันนี้ โดยหน่วยงานรัฐบาลจะปิดทำการทั้งในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ที่สี่ของเดือนพฤศจิกายน 


วันนี้ถือได้ว่าเป็นอีกวันหนึ่งที่คนอเมริกันเดินทางท่องเที่ยว และกลับบ้านมากที่สุดรองมาจากวันคริสต์มาส หากเปรียบไปแล้วก็เหมือนวันสงกรานต์ของไทย ที่ลูกหลานมักจะไปรวมตัวกันที่บ้านปู่ย่าตายายหรือญาติผู้ใหญ่เพื่อทำอาหารและทานมื้อค่ำด้วยกัน

นอกจากวันนี้จะเป็นวันที่ชาวอเมริกันรำลึกถึงพระเจ้าแล้ว คนส่วนใหญ่ยังถือเอาวันนี้เป็นวันที่แสดงความเคารพ ขอบคุณผู้ที่มีน้ำใจ ช่วยเหลือ หรือมีพระคุณในชีวิต เด็กๆ มักจะทำการ์ดจากโรงเรียนเพื่อขอบคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงดูพวกเขาเป็นอย่างดี เจ้านายมักจะพาลูกน้องไปเลี้ยงขอบคุณ หรือมีการเขียนการ์ดแสดงความรู้สึกขอบคุณ หรือ Thankful ที่ทุกคนต่างช่วยกันทำงาน เทแรงกายแรงใจทำให้งานต่างๆ สำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้


วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ฉลอง Thanksgiving กับผู้ชายที่ San Francisco



ข้อดีของ Facebook อย่างหนึ่งที่ชอบเลยคือ จะมีโหมด Memories มาคอยย้ำเตือนเราว่าวันนี้ในปีที่แล้วเราทำอะไร เมื่อวานอยู่ๆ เตือนขึ้นมา วันนี้เมื่อปีที่แล้วไปเที่ยวซานฟรานซิสโก (San Francisco) พอเห็นแล้วก็ทำให้หวนนึกถึงอดีตอันหวานชื่น

จริงๆ ซานฟรานซิสโก (San Francisco)  นี่ไม่ใช่เมืองที่ฝันไว้ว่าอยากไปเลยนะ แต่พอดีช่วงนั้นผู้ชายชวนไปเที่ยว ด้วยความรักบังตาหรืออะไม่รู้ ก็ตกลงปลงใจไปซะงั้น ฮาๆๆ 

จากแอตแลนต้า (Atlanta) บินไปซานฟรานซิสโก (San Francisco) ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ตั๋วเครื่องบินช่วงนั้นก็แพงมากๆ พอๆ กับไปไทยเลย ขอบอก 450$ เพราะเป็นช่วงเทศกาล ก็นั่นแหละที่เขาว่าความรักมันทำให้คนตาบอด แพงแค่ไหนก็ไปคะ ใจสั่งมา

พอถึงสนามบินก็มีผู้ชายมายืนรอรับด้วยใจจดจ่อ แบบนับวันนับคืน ฉันอยากจะเจอเธอ แล้วในที่สุดวันนี้ก็มาถึง ฉากนี้เหมือนในหนังรักโรแมนติกเลยนะ ผู้ชายยืนยิ้มหวาน เท่ห์ๆ คอยนางเอก มือถือดอกไม้ช่อใหญ่ สายตานี้เยิ้มมาก ดีใจสุดๆ เมื่อเห็นนางเอกลากกระเป๋าออกมาจากสนามบิน พร้อมเข้ามาโอบกอดแน่นๆ ด้วยความคิดถึง เกิดมาชาตินี้นอกจากพ่อและสามีเก่าแล้ว ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนเฝ้ารอเราแบบนี้ รู้สึกภูมิใจในตัวเองเบาๆ แต่พ่อนี่ไม่ได้รอเพราะคิดถึง รอด่าเวลากลับบ้านค่ำ

วันนั้นจำได้เลยฝนตกปรอยๆ ในรถผู้ชายเปิดเพลง Jazz เบาๆ มือเขาก็กุมมือเราอยู่ตลอด โอ๊ยอะไรมันจะดีแบบนี้อะ ฟินสุดๆ อะ เขาพาขับรถชมเมืองช้าๆ นอกเมืองซานฟรานนี้ไม่ได้สวยเหมือนที่เขาโปรโมตตามในหนังนะ ออกจะร้างๆ มีตึกเก่าๆ โทรมๆ เยอะมาก ที่สำคัญคนไร้บ้าน (Homeless) เยอะมาก พอๆ กับที่แอตแลนต้าเลย แต่พอเข้าไปในตัวเมืองแล้วสวยมาก ตึกรามบ้านช่องเป็นแบบโบราณ สมัยเก่าสไตล์วิคตอเรียน (Victorian)  มีหลากหลายสีทั้งเหลือง ชมพู ฟ้า เขียว สถาปัตกรรมต่างๆ สวยงามมาก ยิ่งพอเข้าไปที่พักแล้ว Oh My GOD สวยมาก ผู้ชายจองห้องพักที่ Harbor Court Hotel เป็นโรงแรมที่ติดกับท่าเรือ มองออกไปจากหน้าต่างเป็นวิวทะเล และสะพาน Bay Bridge มีลักษณะเป็นสะพานแขวน เชื่อมต่อระหว่างเมืองซานฟรานซิสโกกับเมืองโอ๊คแลนด์ (Oakland) ใน Alameda County ซึ่งจะทอดข้ามผ่าน Treasure Island สวยมากๆ โรแมนติกที่สุด นี้ยังไม่ได้ออกไปไหนนะ แต่แค่เห็นวิวแบบนี้ก็คุ้มค่าที่เดินทางมาแล้วอะ

วันแรกเดินทางมาถึงเป็นวันที่ไม่ทำอะไรเลย เพราะผู้ชายทำงาน ก็เลยนอนคะ ให้สมกับที่มาพักผ่อน โรงแรมก็เงียบมาก หลับเป็นตายคะ






ทริปนี้เป็นทริปที่ไม่ได้เรียกร้องอะไรเลยนะ คิดว่าผู้ชายพาทำอะไรก็ไป เพราะตอนที่นางอยู่แอตแลนต้าก็ข่มนางไว้เยอะ นางไม่เคยได้ทำอะไรที่ชอบเลย พอนางย้ายมาทำงานที่นี่ก็ว่าจะตามใจนางหน่อย แต่ก็นะยามรักกันใหม่ ผู้ชายมันจะมีพลัง ช่วงโปรโมชั่นอะไรก็ดี นางสรรหากิจกรรมที่เราชอบทั้งนั้นมาให้ทำ

ตื่นมาประมาณหกโมงเช้า นางเซอร์ไพร์สด้วยการพาไปปั่นจักรยานคะ กินใจสุดๆ เป็นคนที่ชอบปั่นจักรยานชมเมืองมาก ยิ่งเมืองน่ารักๆ อย่างซานฟรานซิสโกด้วย จะพลาดได้เหรอ แล้วอากาศก็เป็นใจมากนะ ไม่ร้อน ไม่หนาว อากาศกำลังดี



เราปั่นจากโรงแรม เลียบไปตามท่าเรือ (Pier 39) แวะถ่ายรูปตามจุดสำคัญต่างๆ เช่น the Sea Lion Center, the Hyde Street Pier, Ghirardelli Square เป็นต้น อาคารบ้านเรือนแถวนั้นน่ารักมากๆ เหมือนในหนัง Hollywood ที่เราชอบดูกันเลย ตอนแรกว่าจะปั่นสั้นๆ สักชั่วโมง กลัวผู้ชายเหนื่อย แต่ผิดคลาดคะ นางใจสู้ ชวนปั่นไปให้ถึงสะพาน Golden Gate นางกล้าถามมาขนาดนั้น ก็เอาสิคะ คิดว่าไม่เท่าไหร่หรอก จากท่าเรือเห็นแบบสะพานอยู่ไม่ไกลมาก แต่พอปั่นจริง คุณหลอกดาวคะ คือมันไกลมาก มีทั้งทางขึ้นเขา ลงห้วย ใช้เวลาเกือบชั่วโมง แต่ก็ถือว่าคุ้มมาก เพราะบรรยากาศสองข้างทางมันดีจริงๆ วิวสวยสุดๆ ได้รูปสวยเกินร้อยรูป แล้วก็ได้จับมือกันปั่นข้ามสะพาน โรแมนติกไปอีก

ก่อนกลับโรงแรมเราแวะทานอาหารแถว Fisherman Wharf เป็นเหมือนสะพานปลา เรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวมร้านอาหารซีฟู๊ดแบบสดๆ อร่อยๆ นางบอกจะเลี้ยง เลยฟาด Lobster ตัวใหญ่ๆ ซะเลย เอาให้เข็ด ขนหน้าแข้งล่วงไปเลย สรุปรวมแล้วหนึ่งวันหมดไปกับการปั่นจักรยานคะ ตื่น 6 โมงเช้า ปั่นจักรยานเสร็จตอนบ่ายสองโมง

ซานฟรานซิสโกถือว่าเป็นเมืองที่มีร้านอาหารไทยเยอะมาก แทบทุกถนนจะเห็นร้านไทยเกินหนึ่งร้าน แต่ราคาอาหารที่นี่แพงน่าดู ร้านธรรมดาๆ ราคาพอๆ กับร้านภัตราคารหรูๆ ห้าดาว Fine Dinning ที่แอตแลนต้า คือจานละ 20$ ขึ้น แต่อาหารอร่อยใช้ได้เลย มื้อค่ำเราฝากท้องไว้ที่ร้าน Million Thai Restaurant อยู่ตรงถนน Taylor St ห่างจากที่พักประมาณ 15 นาที เป็นร้านเล็กๆ เจ้าของเป็นกันเองมาก สั่งโป๊ะแตกทะเลมากิน แซบเวอร์มาก รสชาติไทยสุดๆ ผู้ชายซดน้ำไปหนึ่งคำ แทบจะสำลักในความเผ็ดร้อนของอาหารไทย คิดในใจ นี่ยังไม่ชินอีกเหรอ มีแฟนแซ่บขนาดนี้ ฮาๆ จริงๆ คือ ผู้ชายไม่ทานอาหารรสจัด อยู่กับนางต้องทำใจ กินได้แค่ผักกับอาหารทะเล เพราะนางไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่ จะบ้าตาย เป็นผู้ชายที่ Healthy มาก มีการกินที่เคร่งครัด ไม่กินข้าวขาว หรืออาหารจำพวกแป้งมาก กินผักและผลไม้เป็นหลัก ออกกำลังกายทุกวัน ดื่มน้ำวันละสามลิตร เข้านอนตอนหัวค่ำ และต้องตื่นก่อนไก่ร้อง เหมือนอยู่ค่ายทหาร ตอนแรกนึกว่ามาเข้าค่ายลูกเสือกับครูฝึก ทำโน่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ดี เราเลยขึ้นคะ อารมณ์ไม่ดี แวดใส่นางไปหนึ่งรอบ ทำให้นางมีสติ สำนึกขึ้นมาได้ว่าคำที่พูดกับคนรักได้มีแค่ โอเคจ๊ะที่รัก ยังไงก็ได้แล้วแต่เลย ฮาๆ มันต้องอย่างนี้สิ


เช้าวันต่อมา อากาศไม่ค่อยเป็นใจกับการออกไปเที่ยวสักเท่าไหร่ ฝนตกเบาๆ เหมาะกับการนอนขึ้เกียจ หมกตัวอยู่ในผ้าอุ่นๆ ดูหนัง ฟังเพลงไป แต่ก็นะผู้ชายเป็นคนตื่นเช้ามาก ปลุกให้ตี่นแต่เช้าตรู่ไปลองกิน Brunch ร้านโปรดของนาง จริงๆ แล้วรู้ทันนางหรอก นางกลัวเราไปกินติ่มซำ เพราะก่อนเข้านอนเปรยกับนางไว้ว่าอยากกิน นางแซงตัดหน้าพาไปร้านฝรั่งก่อน

ร้านที่ไปชื่อ Curbside Cafe อยู่ตรงถนน California St ตกแต่งสไตล์ยุโรป ออกโทนแดง เหลือง บรรยากาศโรแมนติก น่ารักๆ เหมาะกับการพาแฟนมาออกเดต เมนูอาหารไม่เยอะมาก เป็นพวกแพนเค้ก ไข่ทอดต่างๆ เรานั่งริมหน้าต่าง มองออกไปเห็นตึกอิฐสีส้มโบราณๆ มื้อนี้ผู้ชายสั่งให้ทุกอย่าง นางเลือก Smoked Salmon Benedict ให้ลองชิม อาหารหน้าตาธรรมดา แต่รสชาติคือ เวอร์วังมากคะ ซอสรสชาติเข้มข้น กลมกล่อม เข้ากันได้ดีกับเนื้อปลาแซลมอน จิบไวน์ขาวเบาๆ มองดูฝนตกปรอยๆ ข้างหน้าต่าง อะไรมันจะลงตัวขนาดนี้ ชีวิตดี๊ดี

ด้วยความที่ฝนตก ผู้ชายไม่รู้จะพาทำอะไรดี เลยพาขับรถชมเมืองเล่นๆ นางพาขับผ่านไปแถว China Town ชวนให้นึกถึงเยาวราชบ้านเรา หรือถ้าเป็นเชียงใหม่อารมณ์ก็จะเหมือนกาดหลวง สองข้างทางจะเป็นตึกเก่าๆ ตกแต่งด้วยโคมสีแดง และตัวหนังสือภาษาจีน มีขายผัก ผลไม้สด น่าลงไปเลือกดู เลือกซื้อมาก แต่ผู้ชายกุมมือไว้แน่นมาก เพราะกลัวลงไป shopping แล้วจะนานเลยทีนี้

แต่ด้วยความที่นางอยากจะเอาใจหรืออะไรไม่รู้ นางขับรถพาไป Asian Art Museum of San Francisco บอกว่าอยากศึกษาวัฒนธรรม แล้วให้เราช่วยอธิบายให้หน่อย นี่ก็ขอร้องถูกคนมากคะ เกิดมาไม่เคยชอบเลยวิชาประวัติศาสตร์ จำผิด จำถูก ราชวงค์โน่นสลับกับราชวงค์นี้ แต่ก็นะด้วยความที่อยากเอาใจผู้ ก็ตามน้ำไปคะ

พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่กลางในเมือง ติดกับ City Hall จัดแสดงเรื่องราววัฒนธรรมของชนชาติจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีเป็นส่วนใหญ่ ของไทยแทบจะไม่มีอะไรเลย ช่วงที่ไปด้านล่างตึกมีการจัดแสดงศิลปะและดนตรีของชาวอินเดีย 

ความอ่อนด้อยด้านประวัติศาสตร์ของดิฉันนี้ผู้ชายยังต้องอึ้ง เขาถามว่าพระพุทธรูปทำไมมีผอมกับอ้วน เขาหมายถึงพระสังกัจจายน์นะคะ คือคำถามแรกมาก็ยากละ ไม่รู้จะตอบยังไงเลยบอกไปว่า ก็องค์นั้นเขาชอบกินไง ตอบเสร็จแล้วรีบเดินหนีเลย เดี๋ยวถามเยอะ ทิ้งให้ผู้ชายยืนงงอย่างนั้นแหละ 

ผู้ชายดูสนใจใฝ่รู้ ใฝ่เรียนมาก ผิดกับดิฉันมาก สาระนี่ไม่อ่านคะ เดินผ่านเฉยๆ จะมีถ้วยชาม ดาบจากยุคไหน สมัยราชวงค์ไหนก็ไม่ค่อยได้สนใจศึกษา นั่งฟังดนตรีเบาๆ อย่างเดียว ผู้ชายเหลือบมาเห็นคงสงสาร บอกว่าไปเดินเล่นถ่ายรูปตึกข้างนอกก็ได้นะ ให้มันได้อย่างนี้สิคะ ผู้ชายที่โลกต้องการ


จริงๆ นางมีมุมที่น่ารักหลายอย่างนะ อย่างเวลาขับรถ แล้วนางเห็นว่าเราอยากจะถ่ายรูปข้างทาง นางจะคอยมองหาที่จอด ถ้าจอดไม่ได้ก็จะชะลอรถให้ช้าๆ ให้เราถ่ายรูปได้ง่ายๆ หรือบางทีถ้าฝนตก พอนางเห็นเรายกกล้องถ่ายรูปขึ้นมา นางก็จะคอยปัดน้ำฝนหน้ารถให้กระจกใสๆ ถ่ายรูปได้สวยๆ แล้วจะเช็คตลอดเลยนะว่าได้รูปที่ต้องการไหม เป็นอีกอย่างที่ทำให้ประทับใจในตัวนาง

ที่เที่ยวในซานฟรานซิสโกนี้มีเยอะจริงๆ ไม่รู้เที่ยวกี่วันถึงจะหมด ทริปนี้มีเวลาแค่ห้าวันเอง จริงๆ นางตั้งใจจะพาไปฉลอง Thanksgiving กับครอบครัวนางที่ Los Angeles นางบอกขับรถไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง แต่ก็นะคบกันได้ยังไม่ถึงปีเลย ก็ไม่ค่อยกล้าไปเท่าไหร่ ทำตัวไม่ถูก เลยจบลงที่ฉลองกันสองคนที่ซานฟราน ก็สนุกไปอีกแบบ เป็นทริปที่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันจริงๆ ได้ศึกษานิสัยใจคอกันแบบลึกๆ ขึ้นไปอีก ได้เห็นว่าอีกฝ่ายชอบอะไร ไม่ชอบอะไร

ความดีของผู้ชายยังไม่หมด ขออวดต่ออีกสักหน่อย ตอนแรกแอบโกรธนาง ฟ้ายังไม่สาง ตื่นขึ้นมากดโทรศัพท์เล่นทำไม ที่ไหนได้ แอบส่องดูโทรศัพท์นาง นางตื่นแต่เช้าเพื่อมาหาที่ Hiking คะ แต่ไหนแต่ไรมา เป็นคนชอบเดินป่า ปืนเขามากๆ ผู้ชายเลยเอาใจด้วยการพาขึ้นไปไต่เขา Twin Peaks เป็นยอดเขาตั้งอยู่กลางเมืองซานฟรานซิสโก สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 282 เมตร หากใครอยากหาที่ถ่ายรูปสวยๆ ไม่ควรพลาดจุดนี้คะ เวลาขึ้นไปข้างบนจะเห็นเมืองซานฟรานซิสโกทั้งเมือง แต่ก็แอบเหนื่อยอยู่นะ ทางมันชัน ต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมเลยละ ประหนึ่งไปปืนยอดเขาหิมาลัย


การปืนเขามันเป็นอะไรที่สนุกนะ แต่พอเสร็จแล้ว ร่างกายมันเมื่อยล้ามาก นั่งพักร่างอยู่ในรถ ผู้ชายเอาน้ำมาให้ดื่ม พร้อมกับถอดเท้าของเราที่เปื้อนโคลนไปทำความสะอาดให้ ดีเวอร์วัง พ่อเทพบุตรของฉัน นางยิ้มๆ แล้วบอกว่าไม่ต้องดีใจไปหรอกนะ ที่ทำให้เพราะกลัวรถฉันเปื้อน เพิ่งเอารถไปล้างมา อ้าวซะงั้น ฮาๆ

Thanksgiving ยังไม่ทันผ่านไป ผู้ชายเปิดเพลง Christmas แล้วคะ ก็ฟังเพลินดี Let it snow… วันนี้แปลกมาก นางไม่ถามเลยว่าหิวไหม ทานอะไรมาหรือยัง เลยลองบ่นพรึบพรัมเบาๆ อยากกินของหวานจะมีใครพาไปไหมน่า...... นางก็เงียบๆ ไม่พูดอะไร ขับรถลัดเลาะชมเมืองไปเรื่อยๆ จนมาจอดที่ร้านไอติม Swensen ตรงหัวมุมถนน Union and Hyde แล้วจูงมือพาไปซื้อไอติม บรรยากาศในร้านคลาสสิกสุดๆ ร้านเล็กมากๆ ไม่มีที่นั่ง แต่มีไอติมหลากหลายรสมาก ทั้งช็อคโกแลต วานิลา มะพร้าวก็มีนะคะ ผู้ชายบอกให้เลือกเลย จัดเต็มคะ เอามาสองอันเลย ให้มันหายเหนื่อย

ตอนแรกนึกว่านางเหนื่อยอยากกลับโรงแรมแล้ว ไม่จ๊ะ นางพาขับรถไปถ่ายรูปย่านเด็ด ย่านดังอย่าง Lombard Street อันนี้ถือเป็น Landmark เลย ทุกคนต้องมาถ่ายรูป เป็นบ้านที่ตั้งอยู่เนินเขา ลดเลี้ยว คดเคี้ยว เต็มไปด้วยดอกไม้สีสันสวยงาม วันที่ไปคนเยอะมาก แทบจะหาที่จอดรถถ่ายรูปไม่ได้เลย แต่ผู้ชายก็แสดงความมุ่งมั่น มานะนะคะ บอกว่าเธอลงเลย เดี๋ยวฉ้นจะวนรถไปรอบๆ ถ่ายรูปเสร็จเมื่อไหร่ก็โทรหานะ จะมารับ เนี่ยเห็นไหมข้อดีของช่วงโปรโมชั่นหกเดือนแรก ฮาๆๆ

ทุกคนอ่านมาเกือบจะจบแล้ว อาจจะงงว่า อ้าวไหนว่ามาฉลอง Thanksgiving ไม่เห็นมีการบอกเล่าเรื่องราวของการกินไก่งวงเลย แผนตอนแรกคือเป็นแบบนั้นแหละ แต่ด้วยความที่ไม่กล้าไปเจอครอบครัวของผู้ชาย และมันมีอย่างอื่นที่สนุกกว่าอย่างการปืนเขา ปั่นจักรยานชมเมือง ก็เลยเลือกไปทำอย่างอื่นก่อน จริงๆ ก็เกรงใจผู้ชายนะ ที่นางไม่ได้ไปเจอครอบครัวในวันสำคัญอย่าง Thanksgiving นางบอกไม่เป็นไร เห็นกันบ่อยแล้ว แต่ไม่ค่อยได้เห็นยูเลย ปากหวานมาก คนจีบกันใหม่ๆ อะเนอะ น้ำต้มผักก็ว่าหวาน ก็ตกลงกับนางว่า หากปีหน้ายังคบกันอยู่ ค่อยไปกินไก่งวง กับพายฟักทองที่บ้านนางละกัน 



เขาบอกว่าเวลาที่เรามีความสุข เวลามันมักจะผ่านไปเร็วเสมอ อยู่แป๊บเดียวก็ต้องกลับแล้ว นี้ไม่ติดว่าต้องทำงานหาเงินเลี้ยงชีพ และจ่ายค่าครีมบำรุงหน้า ก็จะอยู่ต่อสักเดือน ทริปนี้ถือเป็นอีกทริปที่ประทับใจมาก ไม่ใช่เพราะผู้ชายอย่างเดียวหรอก ซานฟรานซิสโก เป็นเมืองที่สวยจริงๆ ขนาดผ่านมาหนึ่งปีแล้ว ทุกอย่าง ทุกภาพยังอยู่ในความทรงจำอยู่เลย เป็นเมืองที่โรแมนติกมากๆ ใครที่หาสถานที่เดต หรือฮันนีมูนแนะนำเลยคะ มีมุมสวยๆ ให้โรแมนติกเยอะมาก ได้รูปสวยเกินร้อยรูปเอางี้เลยดีกว่า........